คนรุ่นใหม่จะตกงานเพราะ AI หรือคนมีประสบการณ์จะโดนแทนที่ก่อน?

องค์กรเริ่มใช้ AI ทำงานแทนที่แรงงานบางกลุ่มอย่างเป็นระบบ ไม่ว่าจะเป็นงานระดับเริ่มต้น หรืองานที่ใช้ทักษะเฉพาะทาง ส่งผลให้แรงงานทุกกลุ่มเผชิญภาวะไม่มั่นคงพร้อมกัน คำถามคือ ใครเป็นเป้าหมายแรกของเทคโนโลยี?
ปลายเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา Microsoft ประกาศปลดพนักงานอีกราว 9,000 คน หลังจากปลดไปแล้วกว่า 6,000 คนก่อนหน้านั้น ส่วน Amazon ก็ประกาศชัดเจนว่า การใช้เอไอจะทำให้บริษัทมีพนักงานจำนวนน้อยลงในระยะยาว
เหตุการณ์เหล่านี้ไม่ใช่แค่การปรับโครงสร้างขององค์กรเท่านั้น แต่คือสัญญาณว่า แรงงานทั้งระบบกำลังเข้าสู่จุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ ที่ไม่ใช่ทุกคนจะได้ไปต่อ ผลที่ตามมาคือ เอไอจะทำลายโอกาสของใครก่อน ระหว่างคนที่เพิ่งเข้าสู่ระบบงาน หรือแรงงานรุ่นใหญ่ที่เคยเชี่ยวชาญในระบบเดิม
ใครเป็นเป้าหมายแรกของเทคโนโลยี?
คำถามนี้อาจดูเหมือนการเปรียบเทียบระหว่างคนสองวัย แต่แท้จริงแล้ว มันสะท้อนความเปลี่ยนแปลงในระดับโครงสร้างที่กำลังเขย่าความสัมพันธ์ระหว่าง ‘ทักษะ - ต้นทุน - และอำนาจของแรงงาน’ ในโลกยุคหลังโมเดล GPT
แรงงานใหม่: ต้นทุนต่ำ ง่ายต่อการแทนที่
ข้อมูลจาก ADP บริษัทประมวลผลบัญชีเงินเดือนระดับโลก พบว่า การจ้างงานในสายเทคโนโลยีสำหรับคนที่มีอายุงานต่ำกว่า 2 ปี ลดลงถึง 25% ภายในเวลาไม่ถึงปี
ดาริโอ อโมเดอี (Dario Amodei) ประธานบริหารของ Anthropic ระบุว่า ในอีก 5 ปีข้างหน้า เอไอจะมีความสามารถในการทำงานที่เป็นงานระดับเริ่มต้น (entry-level) ได้ขึ้นอย่างมาก จนอาจแทนที่งานเหล่านั้นได้ถึง 50% หรือครึ่งหนึ่ง ของตำแหน่งงานในกลุ่มนี้
งานระดับเริ่มต้นที่ว่านี้ มักเป็นงานที่เกี่ยวข้องกับการทำงานที่ซ้ำซาก รูปแบบค่อนข้างตายตัว เช่น งานธุรการพื้นฐาน การวิเคราะห์ข้อมูลขั้นต้น การตอบคำถามลูกค้า หรือการจัดการข้อมูลเบื้องต้น ซึ่งปัจจุบันมักใช้แรงงานคนรุ่นใหม่ทำเป็นส่วนใหญ่
เหตุผลที่เอไอสามารถแทนที่งานกลุ่มนี้ได้มาก เพราะงานเหล่านี้เป็นงานที่ง่ายต่อการเขียนโปรแกรมและทำซ้ำด้วยระบบอัตโนมัติ เช่น โมเดลภาษาขนาดใหญ่ (Large Language Models) ที่สามารถเข้าใจและสร้างข้อความ ตอบคำถาม หรือสรุปข้อมูลได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้เกิดความกังวลว่า แรงงานหน้าใหม่หรือคนที่เพิ่งเข้าสู่ตลาดแรงงานอาจมีโอกาสถูกแทนที่และมีงานน้อยลง ส่งผลต่อการเริ่มต้นชีวิตการทำงานและความมั่นคงทางเศรษฐกิจในระยะยาว
แบรด ไลท์แคป (Brad Lightcap) ประธานบริหารของ OpenAI กล่าวว่า เอไออาจท้าทายคนทำงานที่ ‘ยึดติดกับระบบเดิม’ มากกว่า และข้อมูลจากหลายบริษัทก็เริ่มสะท้อนให้เห็นสิ่งนั้น
ดังนั้น ระบบการศึกษา และการเข้าสู่ตลาดแรงงานของคนรุ่นใหม่กำลังถูกตั้งคำถามอย่างหนัก เราเรียนมาเพื่ออะไร ถ้างานแรกจะไม่มีอยู่ให้ทำ?
การเริ่มต้นชีวิตแรงงานในยุคนี้จึงไม่ได้หมายถึงการได้มีที่ยืน แต่คือการยืนอยู่ขอบหลุมลึกของความไม่มั่นคง ไม่มีสหภาพแรงงานรองรับ ไม่มีโครงสร้างสวัสดิการที่เพียงพอ และรัฐไม่สามารถคุ้มครองความเสี่ยงของแรงงานหน้าใหม่ในยุคเอไอได้เลย
แรงงานมีประสบการณ์: ค่าตัวสูง จึงถูกเล็งก่อน
ในอีกฟากของตลาดแรงงาน แรงงานที่มีประสบการณ์และได้รับค่าตอบแทนสูงกำลังเผชิญความไม่มั่นคงไม่ต่างกัน
ฮาร์เปอร์ รีด (Harper Reed) นักพัฒนาเอไอรายหนึ่งกล่าวชัดว่า วิธีลดต้นทุนขององค์กรในยุคนี้ไม่ใช่การไล่แรงงานที่ถูกที่สุดออกไปเหมือนสมัยก่อน แต่สิ่งที่องค์กรกำลังทำ คือการ “ใช้แรงงานที่ถูกที่สุด (พนักงานหน้าใหม่หรือลูกจ้างรายได้ต่ำ)” ที่พร้อมจะใช้เทคโนโลยีและเอไอเพื่อทำงานแทนแรงงานที่มีค่าตอบแทนสูง (พนักงานที่มีประสบการณ์หรือระดับสูง)
พูดง่ายๆ คือองค์กรจะจ้างคนที่ค่าแรงถูกกว่า แต่มีทักษะหรือความสามารถในการใช้เอไอช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน เพื่อให้ได้ผลลัพธ์เทียบเท่าหรือดีกว่าคนที่มีประสบการณ์และรายได้สูง
วิธีนี้ทำให้องค์กรลดต้นทุนได้มากกว่า เพราะไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินเดือนแพงๆ ให้กับพนักงานที่เคยทำงานเดิมด้วยตัวเองทั้งหมด แต่ใช้เทคโนโลยีเป็นตัวช่วยให้แรงงานใหม่ทำงานแทนได้
นี่คือกระบวนการ de-skilling ที่เกิดขึ้นจริงแล้วในหลายบริษัท เช่น งานด้านเอกสารกฎหมายที่เคยใช้ทีมทนายสัญญาจ้างหลายคน วันนี้ทำได้ด้วยคนเดียวบวกกับเอไอ หรืองานโค้ดระดับกลางที่เคยต้องใช้วิศวกรเชี่ยวชาญหลายปี ปัจจุบันเด็กจบใหม่สามารถใช้เอไอสร้างผลงานในระดับใกล้เคียงได้
ผลที่ตามมาไม่ใช่แค่การลดคน แต่คือ การบีบโครงสร้างแรงงานให้เหลือเฉพาะ ‘คนที่ทำงานได้เร็วที่สุด ในต้นทุนต่ำที่สุด’ เท่านั้น
รัฐอยู่ไหนในสมการดังกล่าว
คำถามที่ควรพูดให้ดังกว่าเดิมคือ รัฐควรรับผิดชอบอย่างไรในโลกที่แรงงานถูกแทนที่อย่างถาวร
เดวิด เฟอร์ลองเกอร์ (David Furlonger) นักวิเคราะห์และผู้บริหารฝ่ายวิจัยจาก Gartner ตั้งข้อสังเกตว่า ถ้าแรงงานที่มีรายได้สูง และจ่ายภาษีมาก ตกงานพร้อมกันเป็นจำนวนมาก ระบบการคลังของรัฐจะมีปัญหาหรือไม่ เพราะมันอาจกระทบต่อความสามารถในการจัดสรรงบประมาณสำหรับสวัสดิการสังคม การลงทุนสาธารณะ และโครงการต่างๆ ที่รัฐดำเนินการ
นอกจากนี้ เฟอร์ลองเกอร์ยังตั้งคำถามว่า รัฐเตรียมโครงสร้างรองรับ หรือระบบสวัสดิการที่เหมาะสมสำหรับแรงงานกลุ่มที่ถูกทิ้งไว้กลางทาง หรือคนที่ไม่สามารถปรับตัวเข้าสู่ตลาดแรงงานใหม่ได้หรือยัง
เพราะถ้าไม่มีระบบรองรับที่ดี เช่น การฝึกอบรมทักษะใหม่ การประกันรายได้ หรือการสร้างงานในภาคอื่นๆ แรงงานกลุ่มนี้อาจกลายเป็นผู้ว่างงานระยะยาวและสร้างความกดดันทางสังคมและเศรษฐกิจในวงกว้าง
หากพูดถึงสังคมไทย ความเปราะบางของแรงงานยิ่งทวีคูณ เพราะแรงงานนอกระบบไม่มีสวัสดิการ แรงงานในระบบถูกจ้างงานระยะสั้น ไม่มีอำนาจต่อรอง การเข้าถึงเทคโนโลยีและการฝึกทักษะใหม่ยังเป็นสิ่งฟุ่มเฟือยสำหรับหลายคน
หากรัฐบาล และภาคที่เกี่ยวข้อง ยังยึดแนวคิดว่า ‘ใครปรับตัวได้คนนั้นรอด’ ก็เท่ากับว่า รัฐกำลังยกภาระให้คนทำงานแบกรับความเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างแต่เพียงลำพัง
ถ้าโลกหลังเอไอต้องการคนจำนวนน้อยลง คำถามคือ แล้วคนที่เหลือจะอยู่อย่างไร สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนเทคโนโลยี แต่มันคือ การจัดวางอำนาจใหม่ในตลาดแรงงาน องค์กรไม่จำเป็นต้องมีพนักงานหลายชั้น ไม่จำเป็นต้องมีคนประสานงาน ไม่จำเป็นต้องมีคน
และในระบบเศรษฐกิจที่วัดมูลค่าความเป็นมนุษย์ผ่าน Productivity แรงงานจำนวนมากอาจกลายเป็น ‘ส่วนเกิน’ ในสมการขององค์กร และทุนนิยมอัลกอริทึม
ถ้าระบบนี้จะเดินหน้าได้ด้วยคนจำนวนน้อยลง โจทย์ของรัฐและสังคมไม่ใช่แค่การเพิ่มทักษะ แต่คือการทบทวนใหม่ว่า จะออกแบบโครงสร้างเศรษฐกิจที่ไม่ทอดทิ้งมนุษย์ไปกับประสิทธิภาพได้อย่างไร
อ้างอิง: Which Workers Will A.I. Hurt Most: The Young or the Experienced?







