เปิด 9 เหตุผล “โทรคมนาคมเก่า” จะตายถ้าไม่ปรับตัว

เปิด 9 เหตุผล “โทรคมนาคมเก่า” จะตายถ้าไม่ปรับตัว

นี่คือ 9 เหตุผล ที่จะทำให้ “โทรคมนาคมเก่า” ตายแน่ถ้าไม่ปรับตัวใน 3-5 ปี หน่วยงานรัฐต้องเปิดตา เสริมแกร่งผู้ประกอบการ พร้อมต่อโทรคมนาคมใหม่ ก่อนจะไม่เหลือผู้ประกอบการเดิม ในยุคดิจิทัล ที่คนไทยยังมองภาพไม่ชัดเจน

แหล่งข่าวจากวงการดิจิทัล เปิดเผยว่า มรดกจากแนวคิดเก่าในอุตสาหกรรม โทรคมนาคมเก่า เช่น ผู้ให้บริการสัญญาณโทรศัพท์หรืออินเทอร์เน็ตบางราย ที่คิดใบอนุญาตค่าคลื่นสูงอันดับต้นๆ ของโลก ส่งผลให้ประเทศไทยมีจำนวนผู้เล่นโทรคมนาคมน้อยราย อีกทั้งการลงทุนในเสาสัญญานและอุปกรณ์เพื่อรองรับเทคโนโลยีใหม่อีกหลายแสนล้านบาท ทำให้ผู้เล่นหลายรายในอุตสาหกรรมมีภาระดอกเบี้ยและการลงทุนอย่างต่อเนื่องอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

เหตุนี้เองจึงเกิดเป็นอุปสรรคในการเข้าสู่อุตสาหกรรมของผู้เล่นรายใหม่ หรือ Barriers to Entry จาก 3 ประเด็นด้วยกัน 1. เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงเร็วจาก 3G 4G 5G และ 6G จนคืนทุนได้ไม่ทัน 2. เป็นธุรกิจที่ต้องลงทุนสูงระดับแสนล้าน ซึ่งมีผู้ประกอบการเพียงไม่กี่รายที่รับภาระต้นทุนได้ 3. มีกฎระเบียบกำกับและควบคุมทำให้กำหนดราคาเองไม่ได้ โดยมีเพดานกำหนดกรอบไว้โดย กสทช.

ยิ่งนานวันต้นทุนค่าคลื่นก็ยิ่งสูงขึ้นทำให้บริษัท โทรคมนาคม ในประเทศไทยต้องอ่อนแอลงไปจากภาระต้นทุน ในขณะที่รายได้จากการให้บริการโทรคมนาคมไม่ได้สดใสเหมือนก่อน ทั้งค่าโทรศัพท์ที่ถูกทดแทนจากบริการ OTT หรือ Over-the-Top ซึ่งเป็นการให้บริการกระจายเสียงหรือบริการโทรทัศน์บนโครงสร้างพื้นฐานของโทรคมนาคมหรืออินเทอร์เน็ต ด้วยการโทรผ่านไลน์ ผ่านเฟซบุ๊ก การขาดรายได้จากการโทรทางไกล ขาดรายได้จากการส่งข้อความ และ ขาดรายได้จากบริการเสริมต่างๆ ในขณะที่ยอดการใช้งานข้อมูลนั้นสูงขึ้นมหาศาล

ทั้งนี้ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. รายงานว่าในปี 2564 ผู้ให้บริการ OTT ทุกประเภทในไทยมีรายได้เพิ่มขึ้น 8 เท่าเมื่อเทียบกับช่วงแรกของการเข้ามาทำตลาดไทยปี 2557 และบริการประเภท Subscription Video on Demand (SVoD) ซึ่งเก็บค่าสมาชิก อย่างเช่น NETFLIX, DISNEY PLUS, Amazon Prime Video มีสมาชิกถึง 13.29 ล้านบัญชี สอดคล้องกับ Statista Advertising and Media Outlook ประเมินว่า มูลค่าตลาด OTT ของประเทศไทยจะยังเติบโตอย่างต่อเนื่องและจะเพิ่มถึงประมาณ 877 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2568 ขณะที่จำนวนผู้ใช้บริการ OTT ในไทยว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น  2.1 ล้านรายในปี 2566

รายงาน Global Entertainment and Media Outlook 2019-2023 ของ PwC ระบุว่า มูลค่าการใช้จ่ายผ่านสื่อและบันเทิงในประเทศไทย จะเติบโตเฉลี่ยต่อปีในอีก 5 ปีข้างหน้า อยู่ที่ 5.05 เปอร์เซ็นต์ โดยเฉพาะความต้องการเสพสื่อและบันเทิงแบบส่วนบุคคลจะยิ่งมากขึ้น ทั้งการเข้ามาของ 5G จะยิ่งทำให้ผู้บริโภคหันไปสู่แพลตฟอร์มดิจิทัลมากขึ้น PwC คาดว่า บริการวิดีโอผ่านอินเทอร์เน็ต (over-the-top video : OTT video) จะเป็นตลาดที่เติบโตเร็วที่สุด จากมูลค่าในปี 2561 ราว 2.81 พันล้านบาท จะโตมากกว่า 2 เท่าในปี 2566 เป็น 6.08 พันล้านบาท คิดเป็นการเติบโตปีต่อปีที่ 16.64 เปอร์เซ็นต์

ปัจจุบันประเทศไทยมีผู้ใช้บริการแพลตฟอร์ม OTT จำนวนมาก โดยที่ยังไม่มีกลไกควบคุมหรือกำกับดูแล หากหน่วยงานกำกับดูแลของภาครัฐไม่ปรับตัวให้ก้าวทุนยุคเทคโนโลยีดิสรัปชั่น ทำความรู้จักตลาดโทรคมนาคมใหม่ ก่อนจะไม่เหลือผู้ประกอบการเดิม ในยุคดิจิทัล ที่คนไทยยังมองภาพไม่ชัดเจน เชื่อได้เลยว่าภายใน 3-5 ปีนี้ บริษัทเดิมในโทรคมนาคมไทยภายใต้สภาพแวดล้อมทางธุรกิจใหม่คงอยู่รอดได้ยาก หากไม่มีการปรับตัวหรือปรับโครงสร้างทางธุรกิจให้มีความคล่องตัวมากขึ้น

สำหรับเหตุผลที่ผู้ประกอบการ "โทรคมนาคม" ในปัจจุบันต้องประสบภาวะที่ยากต่อการแข่งขันกับผู้เล่นดิจิทัล มีด้วยกัน 9 ข้อที่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในทุกภาคส่วนต้องนำไปคิด ทบทวน และหาทางออก

  1. 1. ค่าใบอนุญาตค่าคลื่นที่ผู้ให้บริการเดิมต้องจ่าย แต่ผู้ให้บริการในรูปแบบดิจิทัลจากต่างประเทศไม่ต้องจ่าย เช่น ไลน์ เฟซบุ๊ก Skype เป็นต้น 
  2. 2. ผู้เล่นโทรคมนาคมในปัจจุบัน ต้องเสียภาษีเต็มเม็ดเต็มหน่วย ในขณะที่ผู้ให้บริการดิจิทัลส่วนใหญ่ มีสำนักงานอยู่ต่างประเทศ นอกจากไม่ต้องจ่ายภาษีแล้ว ยังไม่ต้องเคร่งครัดในการปฏิบัติตามกฎระเบียบของประเทศไทย
  3. 3. การใช้งานดาต้าที่เพิ่มมากขึ้น ลูกค้าจ่ายค่าโทรศัพท์ ค่าดาต้าเท่าเดิม และมี กสทช. ควบคุมราคา ในขณะที่บริษัทดิจิทัลไม่มีหน่วยงานรัฐควบคุม และไม่ต้องจ่ายค่าการใช้ดาต้าให้กับผู้ให้บริการโทรคมนาคมเดิม
  4. 4. อุปกรณ์มือถือรุ่นใหม่รวมถึงแอปพลิเคชั่นไลน์ เฟซบุ๊ก มีการปิดกั้นข้อมูลผู้ใช้งาน ทำให้บริษัทโทรคมนาคมเดิมรู้จักลูกค้าน้อยลง
  5. 5.  ผู้เล่นดิจิทัลจากต่างประเทศ เตรียมเปิดให้บริการโทรศัพท์ไร้ซิมในอีกไม่เกิน 3 ปี ข้างหน้า ทำให้การโทรออกทั้งหมดผ่านดาต้า และ ทำให้เกิดการสูญเสียรายได้ ทำให้ทั้ง เอไอเอส ทรู และ ดีแทค ต้องหันมาให้บริการโทรผ่านดาต้าแข่งกับไลน์ มิเช่นนั้นรายได้ค่าโทรจะลดลงอย่างมาก
  6. 6. การเข้ามาของโทรศัพท์ผ่านดาวเทียม ซึ่งไม่ได้ใช้เครือข่ายสัญญานมือถือเดิม ซึ่งล่าสุด SpaceX ได้ทดลองให้บริการสื่อสารที่ฟิลิปปินส์ โดยฟิลิปปินส์มีอัตราผู้เข้าถึงอินเตอร์เน็ต 74 ล้านคน และมีอัตราผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตเป็นอันดับ 6 ของโลก ซึ่งจะมีการยิงดาวเทียมจากทั่วโลก ทำให้ผู้เล่นเดิมมีโอกาสหลุดออกจากธุรกิจจากการ Disruption ดังนั้นต้องสนับสนุนให้บริษัทโทรคมนาคมไทยปรับตัว ไม่ใช่ควบคุมให้ทำธุรกิจแบบเดิม
  7. 7. โทรคมนาคมไทย มีเพียงเอไอเอส ที่ทำกำไรต่อปีสูงพอที่จะลงทุนเพิ่มแข่งขันกับผู้เล่นดิจิทัล ในขณะที่ผู้เล่นที่เหลือในอุตสาหกรรม มีกำไรไม่เพียงพอที่จะลงทุนเพิ่ม ดังนั้นการควบรวมและปรับโครงสร้างจะเป็นการลดต้นทุนที่ซ้ำซ้อน เพิ่มจำนวนเครือข่ายให้ลูกค้าได้รับบริการที่ดีขึ้น และมีความสามารถทัดเทียมในการแข่งขัน ซึ่งจะเกิดผลดีกับลูกค้ามากกว่าการมีผู้นำเดี่ยวเพียง 1 ราย
  8. 8. ผู้เล่นดิจิทัลมีลักษณะการดำเนินธุรกิจแบบ Start Up ปรับตัวง่ายและเร็วกว่า เพิ่มทุน ลงทุน ควบรวม ได้โดยไม่มีการถูกบังคับ ในขณะที่ผู้เล่นในโทรคมนาคมเดิม กฎระเบียบภาครัฐที่ขาดความชัดเจน ในขณะที่กฎหมายเดียวกัน CAT และ TOT ควบรวมกิจการเกิดเป็นบริษัท NT ทำให้ในอนาคตจะยิ่งเหลือผู้เล่นน้อยราย โดยเฉพาะหากทรูและดีแทคไม่สามารถควบรวมสำเร็จ
  9. 9. รูปแบบการให้บริการสมัยใหม่ ที่จ่ายค่าโทรศัพท์มือถือเป็นรายเดือน ทำให้แบรนด์โทรศัพท์มือถือ จะเก็บเงินลูกค้าแบบ subscription และ มีบทบาทในการดูแลลูกค้าแทนผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือแบบเดิม และมีรูปแบบธุรกิจที่หลากหลายกว่า โดยไม่ถูกควบคุม

ทั้งหมดนี้คือ 9 เหตุผลที่หากธุรกิจในอุตสาหกรรม "โทรคมนาคมเก่า" ไม่ปรับตัว ก็ยากที่จะแข่งขันกับผู้เล่นดิจิทัลจากบริษัทชั้นนำระดับโลก ประเทศไทยจะเป็นเมืองขึ้นทางเทคโนโลยี หน่วยงานภาครัฐมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนและผลักดันขีดความสามารถของผู้ประกอบการไทย หาใช่การกำกับเพื่อให้รายใดรายหนึ่งเป็นผู้นำเดี่ยวในตลาดไม่