สมาร์ทโฟนแบรนด์ดัง ประกาศพันธกิจ "รักษ์โลก"

สมาร์ทโฟนแบรนด์ดัง ประกาศพันธกิจ "รักษ์โลก"

สมาร์ทโฟนแบรนด์ดัง โหมโปรโมท "แผนรักษ์โลก รักษ์ทะเล" ผ่านผลิตภัณฑ์ใหม่ ประกาศยุทธศาสตร๋ความเป็นกลางทางคาร์บอน ลดโลกร้อน หลังในรอบหลายปี ผู้ผลิตชิ้นส่วนเทคโนโลยีล้วนตกเป็นจำเลยผลิตอุปกรณ์จำนวนมหาศาล สุดท้ายกลายเป็นขยะอิเล็กทรอนิกส์ ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศของโลก

ปัญหาหนึ่งของยุคดิจิทัลที่ทั่วโลกกำลังเผชิญ คือ การเพิ่มขึ้นของขยะอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเกิดจากซากผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ

จากรายงานของ The Global E-Waste Monitor 2020 มหาวิทยาลัยสหประชาชาติ (United Nation University, UNU) คาดการณ์ว่าปริมาณขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่เกิดขึ้นทั่วโลกจะมีมากถึง 53.6 ล้านเมตริกตัน ในปี 2562 และจะสูงขึ้นถึง 74.7 ล้านเมตริกตันในปี 2573

โดยทวีปเอเชียเป็นทวีปที่ผลิตขยะอิเล็กทรอนิกส์สูงที่สุดกว่า 24.9 ล้านเมตริกตัน ในปริมาณขยะทั้งหมดมีเพียง 17.4% ที่ได้รับการกำจัดอย่างถูกวิธี ที่เหลืออีกกว่า 82.6% ไม่สามารถติดตามได้ และจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพของมนุษย์ ทั้งอันตรายโดยตรงต่อบุคลากรที่เกี่ยวข้อง

สมาร์ทโฟนแบรนด์ดัง ประกาศพันธกิจ "รักษ์โลก"

แบรนด์ดังเทคฯ ประกาศแผนหนุน

"แอ๊ปเปิ้ล" ผู้นำในโลกสมาร์ทดีไวซ์ เผยแผน พัฒนาธุรกิจให้เป็นกลางทางคาร์บอนทั้งใน ซัพพลายเชนการผลิตและตลอดวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ภายในปี 2030 แม้ว่าตอนนี้บริษัทมีความเป็นกลางทางคาร์บอนอยู่แล้วในส่วนของการดำเนินงานทั่วโลก

แต่เป้าหมายใหม่ที่จะทำให้สำเร็จในปี 2030 นี้หมายความว่าอุปกรณ์ทุกชิ้นของแอ๊ปเปิ้ล ที่วางจำหน่ายจะไม่มีผลกระทบต่อสภาพภูมิอากาศ ไม่ว่าจะเป็น ไอโฟน ไอแพด แมค แอ๊ปเปิ้ล วอทช์ ที่วางจำหน่ายเมื่อปีที่ผ่านมา ล้วนสร้างจากวัสดุรีไซเคิลได้ ซึ่งรวมถึงแร่ธาตุโลหะหายากที่รีไซเคิลได้ 100%ในบางชิ้นส่วนไอโฟนอีกด้วย 

"ธุรกิจทั้งหลายมีโอกาสในการช่วยสร้างอนาคตที่มีความยั่งยืนมากขึ้น ทั้งหมดนี้เกิดจากความใส่ใจในโลกที่เราอาศัยอยู่ร่วมกัน" Tim Cook, CEO ของ Apple กล่าว 

และว่า "นวัตกรรมที่อยู่เบื้องหลังเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมของเราไม่เพียงแต่สร้างประโยชน์ให้โลกเท่านั้น แต่ยังช่วยให้เราประหยัดพลังงานในการผลิต รวมถึงมอบแหล่งพลังงานสะอาดใหม่ผ่านช่องทางออนไลน์ไปทั่วโลก การรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศสามารถเป็นรากฐานในการสร้างนวัตกรรม สร้างงาน และส่งเสริมการเติบโตของเศรษฐกิจที่ยั่งยืน และด้วยความมุ่งมั่นด้านความเป็นกลางทางคาร์บอนของเรา เราหวังว่าจะได้เป็นกำลังเล็กๆ ที่สร้างการเปลี่ยนแปลงอันยิ่งใหญ่" 

ขณะที่ หัวเว่ย ผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) และอุปกรณ์อัจฉริยะชั้นนำระดับโลกกว่า 170 ประเทศ  ประกาศยุุทธศาสตร์ความเป็นกลางทางคาร์บอน ผ่านหลายภารกิจ  ภารกิจแรกคือการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในกลุ่มธุรกิจที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สูง สนับสนุนการใช้รถยนต์ไฟฟ้าที่ปราศจากการปล่อยมลพิษ โดยใช้พลังงานไฟฟ้าเป็นหลัก
 

หัวเว่ย ได้ปรับเปลี่ยนวิธีการดำเนินการขององค์กรไปแล้วหลายโครงการในปัจจุบัน เพื่อให้ตอบโจทย์การพัฒนาอย่างยั่งยืน อาทิ ลดจำนวนการใช้กระดาษกว่า 350 ตัน ลดการใช้พลังงานกว่า 60%ในระบบหลังบ้านของโซลูชันต่าง ๆ รวมถึงใช้แผงโซล่าเซลล์ผลิตพลังงานมากกว่า 6 ล้านกิโลวัตต์ชั่วโมงในเขตปกครองตนเอง หนิงเซี่ยหุย เป็นต้น

ปี 2021ที่ผ่านมา หัวเว่ยจะยังคงมุ่งหน้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและหันมาใช้พลังงานทดแทนเพื่อรองรับเศรษฐกิจที่ยั่งยืนต่อไป ต่อยอดไปถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ 5G ให้ใช้พื้นที่น้อยลง ใช้ไฟน้อยลง 

รวมถึงพัฒนาระบบคลาวด์และ AI ให้ใช้งานง่ายขึ้นสำหรับพาร์ทเนอร์และภาคอุตสาหกรรมทุกฝ่าย เพื่อให้สามารถสร้างผลิตภัณฑ์หรือโซลูชันที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เพราะวิถีการฟื้นฟูที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องของทุกประเทศ ทุกองค์กร และประชาชนทุกคน เราจึงจำเป็นต้องจับมือเพื่อร่วมกันสร้างโลกที่สวยงาม ล้ำสมัย และเท่าเทียมให้เกิดขึ้นต่อจากนี้

หรือ แม้แต่ ซัมซุง ที่เมื่อเร็ว นี้ ได้ทำโครงการ Galaxy for the Planet เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายในการลดรอยเท้านิเวศน์ (Environmental footprint) พร้อมส่งเสริมวิถีชีวิตอันยั่งยืนในหมู่ชุมชนกาแลคซี่ วิสัยทัศน์ Galaxy for the Planet นับเป็นครั้งแรกของซัมซุงที่นำอวนจับปลาที่ถูกทิ้งใต้ท้องมหาสมุทรมาแปรรูปเพื่อเป็นชิ้นส่วนหนึ่งใน Galaxy S22 series และ Galaxy Tab S8 series

พร้อมทั้งยังมีการใช้วัสดุรีไซเคิลจากผลิตภัณฑ์เหลือใช้ของผู้บริโภค เพื่อนำมาผลิตเป็นโมดูลลำโพง ชิ้นส่วนด้านในปุ่มเปิด-ปิด หรือปรับเสียง รวมถึงกล่องบรรจุภัณฑ์ที่ได้รับการดีไซน์ให้บางลง และผลิตจากกระดาษรีไซเคิลทั้งหมด 100%

ขณะที่ เสียวหมี่ เมื่อปี 2564 ได้เผยแพร่รายงานด้านความยั่งยืนประจำปี  บอกถึงการเข้าถึงและแนวทางการปฎิบัติของเสียวหมี่ เพื่อยกระดับการพัฒนาด้านความยั่งยืน ซึ่งรายงานความยาวกว่า 30 หน้า ไม่ว่าจะเป็นการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมขององค์กร และการบริหารซัพพลายเชนแบบยั่งยืน เป็นต้น 

อย่างเรื่องของการพัฒนาโปรดักส์ Recycling ด้วยการนำโปรดักส์กลับมาใช้ใหม่ ได้ริเริ่มขึ้นในประเทศจีน และขยายไปใน เยอรมัน ฝรั่ง อิตาลี และเนเธอแลนด์ โดยปี 2565 และปีหน้า มีแผนขยายต่อเนื่องไปยังประเทศอื่นๆ 

เสียวหมี่ยังเริ่มใช้แพ็กเกจจิ้งที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม กับโปรดักส์ Mi 10T ซี่รี่ส์ ที่ลดการใช้พลาสติกลง 60% และยังขยายไปสู่โปรดักส์ Mi11 รวมถึงต่อยอดไปยังโปรดักส์อื่นๆ ต่อไป และเสียวหมี่ยังดูแลการกำจัดและบริหารจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์ ที่เริ่มต้นทำแล้วในประเทศจีน เพื่อให้ขยะอิเลคทรอนิกส์ถูกกำจัดอย่างถูกวิธีไม่เป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อม

ที่สำคัญเสียวหมี่ยังได้ขยายไลน์โปรดักส์ไปสู่การลงทุนในธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้าหรืออีวี โดยได้ซื้อบริษัทสตาร์ทอัพ Deepmotion ด้วยมูลค่าราว 77.37 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อดำเนินงานธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งได้เตรียมเงินลงทุนในช่วง 10 ปีข้างหน้าไว้ราว 1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 3.3 แสนล้านบาท เพราะเห็นว่าในอนาคตรถยนต์ที่ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลจะน้อยลงเรื่อยๆ และรถยนต์ไฟฟ้าจะเข้ามาแทนที่ ดังนั้นในอีก 5 ปีข้างหน้าเสียวหมี่จะมุ่งสู่อีวีมากขึ้น และมีแผนการออกโปรดักส์ด้านอีวี อาทิ อีวีชาร์ทเจอร์ เป็นอีกหนึ่งแหล่งรายได้ใหญ่ของเสียวหมี่ด้วย

ในรายงานความยั่งยืน เมื่อสิ้นปี 2564 เสียวหมี่ตั้งเป้าที่จะลดปริมาณพลาสติกสำหรับบรรจุภัณฑ์ของผลิตภัณฑ์ใหม่ที่จำหน่ายในทวีปยุโรปลงอีก รวมทั้ง ผลิต ภัณฑ์อุปโภคบริโภคของเสียวหมี่กว่า 40 ประเภท จะติดตั้งคุณสมบัติเพื่อการประหยัดพลังงานซึ่งเป็นคุณสมบัติหลัก และผลิตภัณฑ์ของเสียวหมี่ ยังผลิตภายใต้มาตรฐานต่างๆ ที่ใช้ในสหภาพยุโรป ทั้ง CE, REACH, RoHS และ WEEE Directives และตลาดเอเชียแปซิฟิก เป็นตลาดสำคัญอีกตลาดหนึ่ง ที่เสียวหมี่จะขยายไลน์ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นความท้าทายใหม่ที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม