‘เอชไอดี โกลบอล’ปลุกโซลูชั่น เข้าออกอาคาร รับ โลกไร้สัมผัส

‘เอชไอดี โกลบอล’ปลุกโซลูชั่น เข้าออกอาคาร รับ โลกไร้สัมผัส

“เอชไอดี โกลบอล” ยักษ์ใหญ่ผู้พัฒนาโซลูชั่นด้านการระบุตัวตนของสหรัฐ ปัจจุบัน เอชไอดี โกลบอล ขยายธุรกิจไปทั่วโลกรวมถึงไทย ล่าสุดเข้ามารุกตลาด ระบบควบคุมเข้าออกอาคาร (Physical Access Control) แบบไร้สัมผัส ด้วยเห็นถึงศักยภาพการพัฒนาธุรกิจ ตอบโจทย์การใช้ชีวิตแบบใหม่

“เอชไอดี โกลบอล” (HID Global) เป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ผู้พัฒนาโซลูชั่นด้านการระบุตัวตน มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่เมืองออสติน รัฐเท็กซัส ปัจจุบัน เอชไอดี โกลบอล ขยายธุรกิจไปทั่วโลกรวมถึงไทย ล่าสุดเข้ามาปลุกตลาด ระบบควบคุมเข้าออกอาคาร (Physical Access Control) แบบไร้สัมผัส ในประเทศไทย ด้วยเห็นถึงศักยภาพในการพัฒนาธุรกิจ ตอบโจทย์วิถีการใช้ชีวิตรูปแบบใหม่

“อเล็กซ์ ตัน” ผู้อำนวยการฝ่ายขายธุรกิจ Physical Access Control Solutionsประจำภูมิภาคอาเซียน บริษัท HID Global กล่าวกับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า โควิด-19 เร่งให้มีการเปลี่ยนแปลงการใช้ระบบควบคุมการเข้า-ออกอาคาร สถานที่ โดยโซลูชั่นแบบไร้สัมผัสจะมีบทบาทสำคัญเป็นอย่างมากนับจากนี้ 

สู่โลกยุค “ไร้สัมผัส” 

“หลายคนยังไม่รู้ว่า ได้มีการปรับเปลี่ยนระบบควบคุมการเข้า-ออกทางกายภาพครั้งใหญ่ที่สุดเกิดขึ้นในโลกแล้ว ผู้คนกำลังหันมาใช้สมาร์ทโฟน เพื่อยืนยันตัวตนเข้า-ออกอาคารสถานที่ โดยเฉพาะสถานที่ขนาดใหญ่ และมีความสำคัญเพื่อความปลอดภัย ทั้งยังเป็นการปกป้องผู้ใช้งาน มั่นใจในความปลอดภัย ที่สภาพแวดล้อมและการปฏิบัติงานต่างไปจากเดิม" 

อเล็กซ์ กล่าวย้ำว่า ยุคนิวนอร์มอล บีบให้องค์กรต้องปรับเปลี่ยนระบบการควบคุมการเข้าออกของอาคารต่างๆ เพราะโควิด-19 ทำให้ผู้คนระมัดระวังเมื่อต้องสัมผัสสิ่งของต่างๆ และสัมผัสกันระหว่างบุคคล ดังนั้น ระบบการเข้า-ออกอาคารแบบไร้สัมผัส ในรูปแบบต่างๆ จะกลายเป็นนิวนอร์มอล และได้รับความนิยมมากขึ้น เนื่องจากเป็นการลดการสัมผัสระหว่างบุคคลผู้ใช้งาน และอุปกรณ์ในระบบควบคุมการเข้า-ออก ลดความเสี่ยงการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสผ่านทางจุดสัมผัสต่างๆ ได้

“สมาร์ทโฟน” เครื่องมือสำคัญ

เช่นเดียวกับการใช้ สมาร์ทโฟน หรือแอพพลิเคชั่นบนสมาร์ทโฟน เพื่อเข้า-ออกอาคาร จะเป็นตัวกำหนดทิศทางของธุรกิจระบบเข้า-ออกอาคารทั้งในปัจจุบัน และอนาคตอันใกล้นี้ โดยจะได้รับความนิยมในระดับต้นๆ เพราะผู้ใช้ไม่ต้องสัมผัสสิ่งอื่นใด เมื่อต้องใช้งาน นอกจากนั้นการใช้สมาร์ทโฟน เพื่อเข้า-ออกอาคาร ทางผู้ดูแลระบบยังสามารถส่งมอบ และถอนบัตรที่อยู่ในสมาร์ทโฟนของผู้ใช้งานได้ผ่านทางระบบเครือข่าย ลดปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคลในที่ทำงานได้

เทคโนโลยีใหม่อื่นๆ ที่ช่วยลดการสัมผัสที่กำลังเข้ามามีบทบาท คือ เทคโนโลยีเพื่อบริหารจัดการผู้มาติดต่อ หลังจากการลงทะเบียนเพื่อรับรองตัวตนที่จุดทางเข้าแล้ว ระบบจะติดตามความเคลื่อนไหวไปยังจุดต่างๆ ภายในอาคารเพื่อเป็นการรักษาความปลอดภัยและเป็นไปตามข้อกำหนดขององค์กรนั้นๆ

“อีกหนึ่งโซลูชั่น คือ การเฝ้าติดตามตำแหน่งการเคลื่อนที่ของผู้คนแบบเรียลไทม์ ซึ่งเป็นโซลูชั่นที่นำเทคโนโลยีของ Bluetooth Low Energy มาช่วยให้องค์กรจัดการความหนาแน่นในการใช้พื้นที่แต่ละจุดในแบบเรียลไทม์ ส่งผลให้บริหารจัดการการเว้นระยะห่างและติดตามการเคลื่อนที่ของผู้คนในพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ”

เจาะกลุ่มลูกค้าธุรกิจเฉพาะด้าน

สำหรับกลุ่มลูกค้าหลักของ เอชไอดี โกลบอล ในไทย จะเน้นลูกค้าที่เป็นธุรกิจเฉพาะด้าน เช่น ธนาคาร และบริการด้านการเงิน แบรนด์บริษัทระดับโลก และโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ เช่น สนามบิน อาคารสำนักงานคุณภาพสูงและอสังหาริมทรัพย์

“ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ ส่งผลให้มีการใช้โซลูชั่นของเราเพิ่มสูงขึ้นตลอดหลายปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ เอชไอดี โกลบอล ยังได้ขยายบริการในสู่ธุรกิจเฉพาะด้านอื่นๆ มากขึ้น ทำให้มีผู้ใช้บริการที่สะดวกสบายของเราเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย”

การขยายธุรกิจดังกล่าว ยังรวมถึงลูกค้าที่เป็นธุรกิจเฉพาะด้านขนาดเล็กและกลาง ซึ่งสามารถใช้โครงสร้างระบบการเข้า-ออกอาคาร สำนักงาน เหมือนกับที่กลุ่มธุรกิจระดับองค์กรใช้อยู่ได้ สิ่งนี้มีความสำคัญ เพราะการจะเป็นผู้นำด้านความปลอดภัยที่ดีนั้น จะต้องใช้เทคโนโลยีที่ดีที่สุดทุกครั้งเท่าที่จะทำได้ ไม่ว่าองค์กรจะมีขนาดเล็กหรือใหญ่ก็ตาม

"ในส่วนของกลยุทธ์นั้น การปรับเปลี่ยนเข้าสู่ยุคดิจิทัลและการใช้สมาร์ทโฟนที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้บริษัทฯ มุ่งขยายบริการการใช้สมาร์ทโฟน เพื่อยืนยันตัวตนให้แพร่หลายมากขึ้น โดยจะลงทุนต่อเนื่อง เพื่อสร้างระบบนิเวศพันธมิตรที่เชื่อมโยงและเกื้อกูลกัน" 

เอชไอดี โกลบอล ยังมองเห็นโอกาสการเติบโต และศักยภาพของธุรกิจระบบควบคุมการเข้า-ออกในไทย โดยเฉพาะในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งไทยเป็นตลาดที่สำคัญและมีศักยภาพสูง ภาคเอกชนมีความกระตือรือร้น และต้องการใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ ที่จะช่วยผลักดันไปสู่การเป็นประเทศรายได้สูง ที่มีระบบเศรษฐกิจขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมในยุคดิจิทัล 4.0