ESRI หนุนใช้ เทคโนโลยี GIS จัดการ ภัยพิบัติ ครอบคลุม น้ำท่วม แล้ง ไฟป่า

ESRI หนุนใช้ เทคโนโลยี GIS จัดการ ภัยพิบัติ ครอบคลุม  น้ำท่วม แล้ง ไฟป่า

ESRI หนุนใช้ เทคโนโลยี GIS จัดการภัยพิบัติ รับมือเหตุฉุกเฉินครบวงจร ชูประสิทธิภาพวิเคราะห์ข้อมูลด้วยแผนที่เชิงลึก จัดการทุกภัยพิบัติ แล้ง น้ำท่วม ไฟป่า อย่างมีประสิทธิภาพ

บริษัท อีเอสอาร์ไอ (ประเทศไทย) จำกัด หรือ ESRI ผู้นำด้าน Location Intelligence การวิเคราะห์ภูมิสารสนเทศในมุมมองใหม่ จากความเชี่ยวชาญในการพัฒนา ซอฟต์แวร์ ArcGIS แพลตฟอร์มภูมิสารสนเทศอัจฉริยะระดับโลกในประเทศไทยมากว่า 30 ปี ชูโซลูชันสุดล้ำที่ใช้กันอย่างแพร่หลายทั่วโลก GIS for Crisis Management หรือ จีไอเอสเพื่อการบริหารจัดการสถานการณ์วิกฤตครบวงจร ดึงจุดแข็งด้านข้อมูลแผนที่อัจฉริยะและการวิเคราะห์ประมวลผลเชิงลึก เพื่อ รับมือภัยพิบัติ และสถานการณ์ฉุกเฉิน 

รวมทั้งวิกฤติโรคระบาดโควิด-19 ชูศักยภาพขั้นสูงระบุความเสี่ยงของพื้นที่ได้อย่างแม่นยำ เข้าใจสถานการณ์ คาดการณ์ผลกระทบ เตรียมแผนรับมือได้อย่างมีประสิทธิภาพและทันเวลา พร้อมบริหารจัดการภาวะวิกฤตตั้งแต่ก่อนเกิดเหตุจนสถานการณ์คลี่คลาย ช่วยฟื้นฟูให้กลับสู่สภาวะปกติ ต่อยอดความสามารถ GIS สู่เทรนด์การพัฒนาเมือง เสริมคุณภาพชีวิตและการจัดการพื้นที่ทุกมิติ แนะหน่วยงานภาครัฐใช้เทคโนโลยีจีไอเอสเพื่อการบริหารภาวะวิกฤตเต็มรูปแบบในทุกสถานการณ์

ธนพร ฐิติสวัสดิ์ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท อีเอสอาร์ไอ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ในช่วงปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน แม้ว่าทั่วโลกต้องเผชิญกับวิกฤตโรคระบาดไวรัสโควิด-19 นอกจากนี้ยังมีเหตุการณ์วิกฤติ ภัยพิบัติทางธรรมชาติที่มีความรุนแรง ซึ่งสามารถสร้างความเสียหายทั้งต่อชีวิตและทรัพย์สินจำนวนมาก จากรายงาน Adaptation Gap Report 2020 ที่จัดทำขึ้นโดยโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (UNEP) พบว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศก่อให้เกิดความเสียหายร้ายแรงต่อมนุษย์และเศรษฐกิจโลก 

ปัจจุบันในหลายประเทศได้จัดเตรียมแผนรับมือ โดย UNEP ระบุว่ากลุ่มประเทศกำลังพัฒนาจะใช้เงินทุนรับมือเรื่องดังกล่าวประมาณ 7 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ทั้งนี้ ตัวเลขค่าใช้จ่ายจะเพิ่มสูงถึง 1.4 – 3 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ภายในปี 2573 และจะเพิ่มขึ้นเป็น 5 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ภายในปี 2593

สำหรับประเทศไทยยังคงเผชิญกับความท้าทายภัยพิบัติอย่างต่อเนื่องทุกปี โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุถึงต้นทุนค่าเสียโอกาสทางเศรษฐกิจจากเหตุไฟไหม้ป่าของไทยในปี 2563 คิดเป็นมูลค่าประมาณ 5,100 ล้านบาท ขณะที่ภัยแล้ง ทำให้สูญเสียทางเศรษฐกิจประมาณ 17,000-19,000 ล้านบาท ผนวกกับวิกฤตโควิด-19 คาดส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจติดลบ 0.5% ในปีนี้ ซึ่งเหตุการณ์ทั้งหมดล้วนเป็นสถานการณ์ที่อยู่นอกเหนือการควบคุม ดังนั้น การนำเทคโนโลยีเข้าวางแผนป้องกันและช่วยแก้ปัญหาภัยพิบัติรวมทั้งเหตุการณ์ฉุกเฉิน คือภารกิจเร่งด่วนที่ภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนต้องริเริ่มเตรียมพร้อมรับมือร่วมกัน

ปัจจุบันอีเอสอาร์ไอ พัฒนาเทคโนโลยี GIS for Crisis Management หรือ จีไอเอสเพื่อการบริหารจัดการสถานการณ์วิกฤติ ซึ่งเป็นโซลูชันสำคัญในการช่วยเตรียมพร้อมรับมือกับภัยพิบัติ เหตุฉุกเฉิน และสถานการณ์วิกฤตต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น โดยมีเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพสูง หยิบมาพัฒนาต่อได้ในเวลาอันสั้น พร้อมเข้าไปบริหารจัดการสถานการณ์วิกฤตได้ตั้งแต่การเตรียมพร้อมก่อนเกิดเหตุ ระหว่างเกิดเหตุ และฟื้นฟูสู่สภาวะปกติหลังเหตุการณ์ เรียกได้ว่ามีเครื่องมือเข้าจัดการแบบครบวงจร เป็นเครื่องมือด้านดิจิทัลที่ใช้แก้ไขสถานการณ์ได้อย่างเบ็ดเสร็จ

GIS for Crisis Management เป็นโซลูชันที่เข้ามาช่วยจัดการสถานการณ์ภาวะวิกฤตครบวงจร คือ ช่วงเตรียมความพร้อมก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ (Preparedness) หลายครั้งที่เหตุการณ์ฉุกเฉินหรือสภาวะวิกฤต ไม่สามารถคาดการณ์ล่วงหน้าได้ 100% แต่ด้วยเทคโนโลยี GIS และเครื่องมือที่เกี่ยวข้องสามารถประเมินและคาดการณ์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น อาศัยการวิเคราะห์ข้อมูลในหลากหลายมิติ และฐานข้อมูลย้อนหลัง เข้ามาช่วยคาดการณ์การเกิดเหตุล่วงหน้าได้ เช่น กรณีการพยากรณ์การเกิดอุทกภัย GIS สามารถคาดการณ์ล่วงหน้า โดยนำข้อมูลแหล่งน้ำ ข้อมูลพารามิเตอร์มาวิเคราะห์ระดับและปริมาณน้ำ ฯลฯ และส่งข้อมูลเตือนภัยในเวลาที่เหมาะสมเพื่อป้องกันความเสียหายได้ หรือในขณะที่สถานการณ์โควิด-19 กำลังระบาดอยู่ 

ขณะนี้ GIS สามารถใช้ข้อมูลเชิงลึกทั้งที่มีความหลากหลายซับซ้อน และมีมิติสัมพันธ์จากฐานข้อมูลหมวดต่าง ๆ อาทิ จำนวนผู้ป่วยที่อาจเพิ่มขึ้น พื้นที่การระบาด การกระจายตัวของผู้ติดเชื้อ เพื่อประเมินการระบาดและวางแผนรับมือ ทำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถจัดการการระบาดฯ เพื่อบรรเทาและคลี่คลายสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ ยังสามารถวางแผนเตรียมพร้อมการรักษาและการจัดการทรัพยากรให้เพียงพอในอนาคตได้เช่นกัน

ช่วงการรับมือกับสถานการณ์ในขณะเกิดภัยหรือเหตุฉุกเฉิน (Response) ซึ่งการบริหารจัดการเหตุด้วยการปฏิบัติที่เหมาะสมพร้อมรับมืออย่างทันทีทันใดนั้น GIS จะเข้าช่วยวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก พร้อมเสนอมาตรการต่าง ๆ เพื่อจัดการไม่ให้เกิดความสูญเสียหรือลดผลกระทบที่เกิดให้น้อยที่สุด ซึ่ง GIS มีเครื่องมือที่พร้อมใช้งาน สะดวกต่อการพัฒนาต่อยอด สามารถมอนิเตอร์ดูสถานการณ์จริงแบบเรียลไทม์ เพื่อหาแนวทางเข้าควบคุม แก้ไข ผ่านเว็บแอพพลิเคชันพร้อมอัพเดทข้อมูลและรายงานสรุปผลด้วย Dashboard เข้าใจและเข้าถึงง่าย

โดยแสดงผลได้ทั้งบน หน้าจอโทรศัพท์ (Mobile Application) และบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ (Web Monitoring) ทำให้ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลเพื่อวางแผนรับมือกับสถานการณ์ได้เช่นกัน นับเป็นหนึ่งไฮไลต์ที่ช่วยให้การส่งต่อข้อมูลข่าวสารที่จำเป็นถึงมือผู้ประสบเหตุหรือกำลังอยู่ระหว่างอพยพในเหตุวิกฤติ สามารถคาดคะเนเหตุการณ์และเตรียมความพร้อมรับมือได้อย่างเหมาะสมและทันท่วงที รวมถึงเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องสามารถใช้รายงานข้อมูลนี้เพื่อประเมินภาพรวมและบริหารสถานการณ์รวมทั้งทรัพยากรให้เหมาะสมที่สุด

และสุดท้ายซึ่งเป็นช่วงการฟื้นฟู (Recovery) บรรเทาหลังเกิดเหตุวิกฤติให้กลับสู่สภาวะปกติ ให้ประชาชนและชุมชนที่ได้รับผลกระทบกลับคืนสู่สภาพที่ดีขึ้นโดยเร็ว ระบบสามารถวิเคราะห์จัดหาศูนย์อพยพสำหรับประชาชนในการเข้าขอความช่วยเหลือที่เร็วที่สุด ช่วยเจ้าหน้าที่จัดทำข้อมูลประชาชนและประเมินจัดลำดับการช่วยเหลือแบ่งเป็นระดับมาก กลาง น้อย เพื่อให้ความช่วยเหลือได้ครบถ้วน อีกทั้งยังสามารถจัดทำข้อมูลสรุปผลสำหรับผู้บริหารให้เข้าใจสถานการณ์ภาพรวมตั้งแต่ต้นและนำไปวางแผนต่อสำหรับการรับมือกับภัยพิบัติที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้

กุญแจสำคัญของการบริหารจัดการวิกฤต คือ ชุดข้อมูลที่หลากหลายนำมาใช้ร่วมกับเทคโนโลยี GIS เพื่อวิเคราะห์ประมวลผลให้สามารถรับมือเหตุฉุกเฉินได้ และด้วยความสามารถในการทำ Visualization ช่วยเปลี่ยนข้อมูลที่ซับซ้อนให้เข้าใจง่ายในทุกมิติ นำไปพัฒนาต่อยอดรับมือได้ทุกสถานการณ์

เช่น กรณีล่าสุด เหตุการณ์ไฟไหม้โรงงานผลิตเม็ดโฟมพลาสติกขนาดใหญ่เมื่อไม่นานมานี้ อีเอสอาร์ไอนำ ArcGIS เครื่องมือวิเคราะห์ประมวลผลข้อมูลพื้นที่เพื่อตั้งจุดอพยพ เส้นทางการอพยพ และรายงานสถานการณ์รอบพื้นที่เกิดเหตุแก่ประชาชนแบบเรียลไทม์ ภารกิจจากทีมจิตอาสาการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (EGAT) นำ ArcGIS ใช้ในการเก็บข้อมูลผู้ป่วยโควิด-19 เพื่อหาเตียงส่งต่อผู้ป่วยให้ได้รับการรักษาในพื้นที่จังหวัดนนทบุรีได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงภาครัฐได้นำ ArcGIS ไปใช้ในการบริหารจัดการและมอนิเตอร์ การเฝ้าระวัง และติดตามสถานการณ์โควิด-19 ในพื้นที่ต่าง ๆ เป็นต้น

“การใช้ระบบบริหารจัดการสถานการณ์วิกฤตด้วยเทคโนโลยียุคใหม่ที่มีความเชี่ยวชาญสูง นับเป็นหนึ่งแนวทางสำคัญสำหรับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจำเป็นต้องพิจารณานำมาใช้เพื่อช่วยจัดการสถานการณ์ที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้ ซึ่งสอดคล้องกับเทรนด์การเปลี่ยนแปลงของโลกที่นำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้าเป็นส่วนหนึ่งในการบริหารจัดการการทำงาน แก้ไขปัญหา รวมทั้งรับมือทุกวิกฤตได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งนับเป็นการเตรียมความพร้อมไปสู่การเป็นเมืองอัจฉริยะ หรือ สมาร์ทซิตี้เต็มรูปแบบในทุกสถานการณ์” ธนพร กล่าว