"เอ็นเรส" สตาร์ทอัพอารีเทค ใต้การหนุนเอ็นไอเอ สู่บิ๊กธุรกิจพื้นที่อีอีซี

"เอ็นเรส" สตาร์ทอัพอารีเทค ใต้การหนุนเอ็นไอเอ สู่บิ๊กธุรกิจพื้นที่อีอีซี

เอ็นไอเอ เร่งเพิ่มความเชื่อมั่นภาคอุตฯ ในพื้นที่อีอีซี ผ่านการผลักดันสตาร์ทอัพที่ใช้เทคโนโลยีเชิงลึก หรือดีพเทคด้าน “อารีเทค” พร้อมเชื่อมบิ๊กธุรกิจในพื้นที่อีอีซี ลงทุน 10 สตาร์ทอัพฝีมือดี หวังเพิ่มมูลค่า 12 อุตสาหกรรมเป้าหมาย

ในกิจกรรม DEMO DAY เวทีการนำเสนอผลงานและแผนธุรกิจของของสตาร์ทอัพกับนักลงทุนขนาดใหญ่ผ่านช่องทางออนไลน์ โดยสตาร์ทอัพผู้ชนะที่ได้รับรางวัล The Best Performance ARI Tech Startup Award (ตัดสินจากคณะกรรมการ) ได้แก่ ทีม AltoTech : อัลโต้ เทค AIoT แพลตฟอร์ม วิเคระห์ ตรวจสอบ และจรกรใช้พลังงน ภยในโรงแรม อร และสมร์ท ซิตี้ ได้อย่งอัตโนมัติ และมีประสิทธิภพด้วย AI, IoT, Big Data, และ Human-centric technologies

และรางวัล The Popular ARI Tech Startup Award (ตัดสินจากผลการโหวตของผู้เข้าร่วมงาน) ได้แก่ ทีม MOVEMAX : มูฟแม็กซ์ แพลตฟอร์มบริหารงานขนส่งและกระจายยสินค้า เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนโดยใช้ปัญญาประดิษฐ์

 

นายทรงศักดิ์ สายเชื้อ กรรมการนวัตกรรมแห่งชาติ NIA และที่ปรึกษาพิเศษด้านการต่างประเทศ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก กล่าวว่า “กิจกรรมหลักของโครงการตลอดระยะเวลา 3 เดือนที่ผ่านมา ถือเป็นการเร่งสร้างและยกระดับความสามารถของสตาร์ทอัพด้าน ARI-Tech ให้เป็นที่ประจักษ์ ถึงแม้จะมีข้อจำกัดทั้งในเรื่องระยะเวลาและสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 แต่สตาร์ทอัพเหล่านั้นก็สามารถแสดงศักยภาพของเทคโนโลยีและนวัตกรรมในการแก้ปัญหาและทำงานจริงร่วมกับหน่วยงานหรือองค์กรในพื้นที่อีอีซีได้เป็นอย่างดี

 

โดยสามารถตอบโจทย์ให้กับอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าตลาดสูง เช่น ตลาด Smart Energy, Smart Retail, Industry 4.0, Digital Transformation และเชื่อมโยงกับศักยภาพของพื้นที่ซึ่งเอื้อต่อการเติบโตและเป็นเขตเศรษฐกิจแห่งอนาคตที่สำคัญของประเทศที่มีนโยบายสนับสนุนด้านการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่รองรับการเติบโตของภาคอุตสาหกรรม และทุกภาคส่วนทั้งการเกษตรและชุมชน”

พันธุ์อาจ ชัยรัตน์ ผู้อำนวยการ NIA เปิดเผยว่า เอ็นไอเอ ได้จัดกิจกรรมบ่มเพาะสตาร์ทอัพที่ใช้เทคโนโลยีเชิงลึก ภายใต้โปรแกรม Global Startup Hub: EEC ซึ่งการดำเนินงานดังกล่าวเป็นการต่อยอดธุรกิจสตาร์ทอัพให้มีโอกาสได้รับการลงทุน และมีช่องทางการทำตลาดกับภาคอุตสาหกรรมในพื้นที่อีอีซี รวมถึงเพื่อยกระดับพื้นที่อีอีซีให้เป็นพื้นที่แห่งการเติบโตของสตาร์ทอัพ เนื่องจากมีความพร้อมทั้งเรื่องนโยบายส่งเสริมการลงทุนจากภาครัฐ บริษัทและหน่วยงานมีศักยภาพในการพัฒนาเทคโนโลยี รวมถึงเป็นพื้นที่แห่งการผลักดัน 12 อุตสาหกรรมเป้าหมายตามนโยบายของรัฐบาล

 

โดยในปีนี้ NIA นำร่องสตาร์ทอัพที่ใช้เทคโนโลยีเชิงลึกด้านอารีเทค (ARI-Tech) ซึ่งประกอบด้วย Artificial Intelligence หรือ AI เทคโนโลยีทีมีความสามารถในการทำความเข้าใจและเรียนรู้องค์ความรู้เพื่อนำไปสู่การแก้ปัญหา Robotic หรือ หุ่นยนต์ และ Immersive ซึ่งเป็นนวัตกรรมเสมือนจริง รวมถึงการใช้ระบบอินเทอร์เน็ตควบคุมสรรพสิ่ง (IoT) ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นพื้นฐานเทคโนโลยีเชิงลึกที่สามารถเชื่อมโยงกับ 12 อุตสาหกรรมเป้าหมายของอีอีซีที่จะนำไปสู่การสร้างความสามารถในการแข่งขันและเติมเต็มมูลค่า

 

ช่วยยกระดับความโดดเด่นในด้านการเป็นฐานแห่งการผลิต ตลอดจนเป็นแรงดึงดูดให้นักลงทุนทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติสนใจที่จะลงทุนหรือขยายธุรกิจในพื้นที่ดังกล่าวได้ต่อไป

ทั้งนี้สตาร์ทอัพที่มีศักยภาพ จำนวน 10 ทีม เข้าร่วมกิจกรรม โดยมีโอกาสได้เข้าไปพัฒนากระบวนการทางอุตสาหกรรมร่วมกับบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำในพื้นที่อีอีซีในรูปแบบ co-creation เพื่อทำให้สตาร์ทอัพเข้าใจความต้องการของภาคอุตสาหกรรม และนำเทคโนโลยีที่มีไปต่อยอดในอุตสาหกรรมที่อาจไม่เคยสัมผัสมาก่อน จนสามารถนำไปขยายผลในเชิงธุรกิจได้จริง นอกจากนี้ ยังมีการพัฒนาศักยภาพนวัตกรรมให้กับสตาร์ทอัพผ่านกระบวนการเรียนรู้ การให้คำปรึกษา และการลงมือปฏิบัติจริง

 

ซึ่งก่อให้เกิดโอกาสที่สำคัญใน 4 มิติ ได้แก่ 1.โอกาสการขยายตลาดใหม่ 2.โอกาสการสร้างความความร่วมมือกับอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ต่อเนื่องถึงการสร้างธุรกิจใหม่ร่วมกับบริษัทขนาดใหญ่ 3.โอกาสการปรับเปลี่ยนแนวทางการแก้ไขปัญหาให้ตอบโจทย์การใช้งานและความต้องการของภาคอุตสาหกรรมที่จะนำไปสู่การพัฒนาธุรกิจ ตลาด และห่วงโซ่อุปทานในอุตสาหกรรมแห่งอนาคตที่สำคัญต่อการยกระดับระบบนวัตกรรมของประเทศ 4.พัฒนาระบบนิเวศสตาร์ทอัพที่ใช้เทคโนโลยีเชิงลึกของไทยที่ในอนาคตสามารถขยายธุรกิจในระดับนานาชาติต่อไป

 

ด้าน กริชผกา บุญเฟื่อง รองผู้อำนวยการด้านระบบนวัตกรรม NIA กล่าวว่า “สตาร์ทอัพแต่ละทีมได้พัฒนาโครงการอย่างเข้มข้นผ่านการทำงานจริงร่วมกับองค์กรพันธมิตรชั้นนำในพื้นที่อีอีซี โดยได้รับคำแนะนำทั้งทางด้านเทคโนโลยีและธุรกิจ เพื่อนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาร่วมแก้โจทย์ปัญหาหรือต่อยอดธุรกิจ อีกทั้งยังได้รับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญหลากหลายสาขาจากบริษัทชั้นนำในอุตสาหกรรม ผ่านกิจกรรมที่จัดขึ้นตลอดระยะเวลาโครงการเพื่อพัฒนาศักยภาพสตาร์ทอัพแบบเจาะลึก

 

และการจับคู่สตาร์ทอัพและบริษัทพันธมิตรซึ่งประกอบด้วย 1. AltoTech: AIoT แพลตฟอร์มวิเคราะห์ ตรวจสอบ และจัดการการใช้พลังงานภายในโรงแรม หรืออาคารแบบอัตโนมัติ ทำงานร่วมกับ บริษัท บี.กริม จอยน์ เว็นเจอร์ โฮลดิ้ง จำกัด 2. AUTOPAIR: แพลตฟอร์มบริหารจัดการชิ้นส่วนยานยนต์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพด้านการจัดซื้อและบริหารค่าใช้จ่าย ด้วยการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ ทำงานร่วมกับ บริษัท เอ็น ดี รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) 3. BlueOcean XRSIM+: แพลตฟอร์มจำลองการฝึกเสมือนจริง ส่งมอบประสบการณ์การฝึกปฎิบัติงาน (OJT) ทะลายข้อจำกัดเรื่องเวลาและสถานที่ ทำงานร่วมกับ EEC Automation park ม.บูรพา และสถาบันไทย-เยอรมัน

 

4. Crest Kernel: ระบบตรวจสอบความปลอดภัยและวิเคราะห์ข้อมูลการบริโภคบนข้อมูลภาพกล้องวงจรปิดแบบเรียลไทม์ด้วย DeepEyes ทำงานร่วมกับ บริษัท ไทยซัมมิท ฮาร์เนส จำกัด (มหาชน) 5. ENRES: AIoT แพลตฟอร์มเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดค่าใช้จ่ายอาคารและโรงงานสู่ยุค 4.0 ทำงานร่วมกับ บริษัท สยามคูโบต้าคอร์ปอเรชั่น จำกัด และบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน)

 

6. GENSURV: รถฟอร์คลิฟท์ไร้คนขับนำทางด้วยเลเซอร์ สำหรับการขนย้ายพาเลทในคลังและสายการผลิต ทำงานร่วมกับ บริษัท คาราบาวกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) และบริษัท ดั๊บเบิ้ลเอ (1991) จำกัด(มหาชน)

 

7. IFRA: เครื่องมือช่วยวิศวกรในโรงงานเก็บข้อมูลเครื่องจักรและวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพของเครื่องจักรอย่างต่อเนื่อง ทำงานร่วมกับ บริษัท สุนทรธัญทรัพย์ จำกัด 8. MOVEMAX: แพลตฟอร์มบริหารงานขนส่งและกระจายสินค้า เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนโดยใช้ปัญญาประดิษฐ์ ทำงานร่วมกับ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และบริษัท คาราบาวกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) 9. VERILY VISION: ระบบกล้อง AI เก็บข้อมูล ทะเบียนรถขนส่ง และหมายเลขตู้คอนเทนเนอร์สินค้าอัตโนมัติ สำหรับธุรกิจโลจิสติกส์ ทำงานร่วมกับ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)

 

และ 10. ZEEN: ระบบ AI สำหรับบริหารและจัดการขายสินค้าอุปโภคบริโภคสำหรับร้านค้าปลีกอย่างถูกต้องและแม่นยำ ทำงานร่วมกับ บริษัท สุนทรธัญทรัพย์ จำกัด

 

นายกฤษฎา ตั้งกิจ ผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท เอ็นเนอร์จี้ เรสปอนส์ จำกัด หรือ เอ็นเรส (ENRES) ผู้พัฒนาซอฟแวร์ที่ช่วยในการบริหารข้อมูลพลังงาน ด้วยเทคโนโลยี AIoT Platform กล่าวว่า  ENRES เกิดจากการรวมกลุ่มของเพื่อน ๆ ที่มีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ทำงานแตกต่างกัน  ด้วยแนวคิดที่อยากจะจัดการพลังงานในอาคารใหญ่ด้วยแพลตฟอร์มออนไลน์ที่ใช้ข้อมูลวิเคราะห์ ผนวกกับเทคโนโลยี ไอโอทีและบิ๊กเดต้า

จนเกิดเป็น เทคโนโลยีนี้จะเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยในการเพิ่มประสิทธิภาพ และลดค่าใช้จ่ายภายในอาคารและโรงงานสู่ยุค 4.0 และจะช่วยให้สามารถบริหารจัดการ บำรุงรักษามอร์นิเตอร์คุณภาพการให้บริการระบบต่างๆ ว่าอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานหรือไม่ ทั้งระบบไฟฟ้า น้ำ และอากาศ ได้อย่างรวดเร็ว นำไปสู่การกำหนดวิธีการช่วยในการวางแผน และควบคุมเป้าหมายการปฏิบัติงาน การบำรุงรักษา ตลอดจนความปลอดภัย ได้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

 

ทั้งนี้ในยุคโควิดแบบนี้ โรงงานจะอยู่ยังไง!! สำหรับธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับโควิด-19 ดูจะไปได้สวย เช่นหน้ากากอนามัย แอลกอฮอล์ ฟู้ดเดลิเวอรี่ แต่สำหรับโรงงานอื่นๆ เทรนด์โรงงานอุตสาหกรรมในตอนนี้คือ การนำเซ็นเซอร์และอุปกรณ์ที่รองรับไอโอที เข้ามาใช้ในโรงงานให้มากขึ้น เพื่อปรับตัวรับกับสถานการณ์ปัจจุบัน เลี่ยงการสัมผัส เว้นระยะห่างทางสังคม แต่ธุรกิจยังเดิน

ดังนั้น Single View แพลตฟอร์มจากเอ็นเรส ที่ช่วยบริหารข้อมูลอาคารและโรงงานแบบดิจิตอล การนำอุปกรณ์ IoT มาทำงานร่วมกันกับธุรกิจ ทำให้ทุกอุปกรณ์และ แม้แต่ส่วนประกอบภายในอุปกรณ์สามารถสร้างข้อมูลได้ ทำให้อุปกรณ์สามารถสื่อสารกันได้ 

การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเซ็นเซอร์ ในโรงงานสามารถกำจัดจุดบอด ทำให้ระบบการจัดการหรือการมองเห็นเป็นมุมมองแบบองค์รวม ง่ายต่อการบริหารจัดการ ทำให้สามารถทำงานหรือดำเนินการตรวจสอบจากระยะไกลได้นั่นเอง

เมื่อข้อมูลจากเซนเซอร์เหล่านี้รวมเข้ากับระบบธุรกิจ ก็จะสามารถบำรุงรักษาเครื่องจักร, อุปกรณ์ ได้จากทุกที่ อีกทั้ง AI ยังสามารถทำการวิเคราะห์ข้อมูล และนำไปทำนายความล้มเหลวของไลน์การผลิตก่อนที่จะเกิดขึ้นได้ , การคาดการณ์ล่วงหน้าถึงกำหนดการบำรุงรักษาเครื่องจักร รวมถึงการแจ้งเตือนล่วงหน้าเกี่ยวกับการเสื่อมสภาพของเครื่องจักร เป็นการหลีกเลี่ยงการหยุดทำงานของเครื่องจักร และอื่นๆอีกมากมาย

โดยที่การแจ้งเตือนทั้งหมดจะส่งตรงถึงผู้ที่มีอำนาจการตัดสินใจ และผู้ที่เกี่ยวข้องทันที ทำให้สามารถตรวจสอบเครื่องจักรด้วยวิดีโอระยะไกล ร่วมกับทีมหน้างาน

 

แม้ว่าผู้เชี่ยวชาญ ทีมวิศวะกรต้องทำงานอยู่บ้านก็สามารถวางแผน แก้ไข บำรุงรักษาเครื่องจักรได้ขณะเดียวกันเทคโนโลยีนี้จะทำให้สามารถสตรีมข้อมูลวิดีโอ ไปยังคลาวด์เพื่อการวิเคราะห์ที่รวดเร็วอีกด้วย