ผึ้ง แมลงเศรษฐกิจบนฐานวิจัย
โคลนนิ่งยีนโปรตีนไหมจากผึ้งหลวง เซรามิกพรุนสำหรับกำจัดไรผึ้ง สมุนไพรจากชะเอม-อบเชยยับยั้งเชื้อแบคทีเรียและรา ตัวอย่างผลงานวิจัยจาก ภาณุวรรณ
โคลนนิ่งยีนโปรตีนไหมจากผึ้งหลวง เซรามิกพรุนสำหรับกำจัดไรผึ้ง สมุนไพรจากชะเอม-อบเชยยับยั้งเชื้อแบคทีเรียและรา ตัวอย่างผลงานวิจัยจาก “ภาณุวรรณ จันทวรรณกูร” ที่ได้รับการยอมรับในเวทีโลก ทั้งยังสร้างองค์ความรู้อีกมากมาย ที่สามารถนำไปใช้ควบคุมโรคศัตรูผึ้ง ลดอัตราการตายและนำไปประกอบในการร่างมาตรฐานการชันสูตรโรคผึ้งตลอดจนมาตรฐานน้ำผึ้ง จากประสบการณ์การทำวิจัยผึ้งมากว่า 10 ปี มีผลงานตีพิมพ์ทางวิชาการ 20 ชิ้นเฉพาะในต่างประเทศ ล่าสุดเป็นรองประธานสมาคมผึ้งโลก ที่มี 95 ประเทศทั่วโลกเป็นสมาชิกและมีนักวิจัย 800 คน
ศึกษาธรรมชาติต่อยอดวิจัย
“การทำวิจัยต้องใช้เวลา ความอดทน เพราะการค้นพบสิ่งใหม่ต้องใช้เวลาวิจัย ทดสอบ เรียนรู้ธรรมชาติและนำธรรมชาติมาใช้ประโยชน์ ต้องเสียเวลาในการลองผิดลองถูก และต้องมั่นใจว่าได้ผลจริงๆ ก่อนเผยแพร่สู่สาธารณชน ที่สำคัญจะต้องคำนึงด้วยว่า งานวิจัยจะช่วยให้เกิดความเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นในวงกว้างไม่ใช่แค่สนองความอยากรู้เท่านั้น” รศ.ภาณุวรรณ จันทวรรณกูร อาจารย์ประจำคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวถึงแนวคิดในการทำงานวิจัย
อุตสาหกรรมการเลี้ยงผึ้งมีปัญหาอยู่หลายด้าน โดยเฉพาะไรปรสิตซึ่งเป็นพาหะนำเชื้อไวรัสสู่ผึ้ง ซึ่งทำให้มีอัตราการตายของผึ้งสูง นักวิจัยยังได้สำรวจและศึกษาชนิดของไวรัสในผึ้ง สายพันธุ์ของเชื้อราก่อโรคชอล์คบรูดและโรคตัวอ่อนเน่าจากแบคทีเรีย และการใช้สมุนไพรยับยั้งจุลินทรีย์ก่อโรค เพื่อลดการตกค้างของสารเคมีในน้ำผึ้งและผลิตภัณฑ์ผึ้งอื่น
ทั้งนี้ จากการสำรวจโรคผึ้งในไทย พบว่า ผึ้งป่าติดเชื้อโรคน้อยเมื่อเทียบกับผึ้งยุโรป ส่วนผึ้งไทยมีความสามารถในการต้านทานโรคได้ดีด้วยวิวัฒนาการตามธรรมชาติ ข้อมูลความรู้นี้ส่งไปเผยแพร่ทั้งในประเทศและต่างประเทศ จนได้รับความสนใจ อาทิ การโคลนและการแสดงออกของยีนชีวสังเคราะห์โปรตีนไหมจากผึ้งหลวงในเชื้อแบคทีเรีย เนื่องจากใยไหมเป็นพอลิเมอร์ประเภทโปรตีนที่นำมาใช้ในทางการแพทย์และอุตสาหกรรมได้
"ผึ้งหลวงมีความแข็งแรงมากกว่าผึ้งชนิดอื่นๆ รวมถึงการเลี้ยงผึ้งต้องเปลี่ยนคอนผึ้งทุกปี ส่วนคอนผึ้งเก่าจะถูกทิ้งโดยไม่ได้ใช้ประโยชน์ที่ควรจะเป็น นอกจากจะนำไขผึ้งมาสร้างรังผึ้งใหม่ ทีมนักวิจัยจึงศึกษาครีมไหมผึ้งและสารสกัดจากรังผึ้ง พบว่า สารสสกัดดังกล่าวออกฤทธิ์ทำลายเชื้อจุลินทรีย์ และมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ดี จึงนำมาสู่การพัฒนาครีมบำรุงผิว และได้รับการติดต่อจากผู้ประกอบการแต่ยังไม่ได้เจรจาในรายละเอียด
ขยายผลสู่เกษตกรเลี้ยงผึ้ง
นอกจากนี้ เธอยังถ่ายทอดความรู้จากงานวิจัยให้กับเกษตรกรผู้เลี้ยงผึ้งในภาคเหนืออย่างต่อเนื่องทุกปี เน้นเกี่ยวกับโรค การพัฒนาผลิตภัณฑ์และวิธีการเลี้ยงผึ้งสำหรับผู้สนใจทั่วไปโดยสนับสนุนวิธีทางธรรมชาติ ไม่ใช้สารเคมีกับผึ้งพันธุ์ พร้อมกับกระตุ้นให้เกษตรกรหันมาเลี้ยงผึ้งโพรงมากขึ้น
ทั้งนี้ ผึ้งโพรงเป็นพันธุ์พื้นเมืองของไทย โดยธรรมชาติจะทำรังด้วยการสร้างรวงซ้อนเป็นขั้นๆ อยู่ในโพรงไม้ โพรงดินและใต้หลังคา ลักษณะโดดเด่นคือมีความแข็งแรงและทนโรค ทำให้ไม่ต้องใช้ยา ต้นทุนการเลี้ยงจึงต่ำ น้ำผึ้งยังมีคุณภาพดีไม่มีสารตกค้าง ปัจจุบันคนจีนนิยมเลี้ยงผึ้งโพรงมากกว่าคนไทย เนื่องจากคุณสมบัติดังกล่าว ซึ่งหากจะผลิตในเชิงพาณิชย์ต้องเลี้ยงมากขึ้น
เริ่มต้นจากการช่วยเกษตกรที่เลี้ยงผึ้งพันธุ์ให้เป็นออร์แกนิค ก่อนขยับไปกระตุ้นให้เลี้ยงผึ้งโพรง เนื่องจากสัดส่วนเกษตกรเลี้ยงผึ้งพันธุ์ 80% ที่เหลือ 20% เป็นผึ้งโพรง หากเกษตรกรเปลี่ยนวิธีการเลี้ยงตามธรรมชาติจะทำให้ผลิตภัณฑ์ที่ได้จากผึ้งเป็นผลิตภัณฑ์ออร์แกนิค สร้างมูลค่าเพิ่มและขยายตลาดต่างประเทศได้ง่ายขึ้น
“ที่ผ่านมา เราขาดการประสานงานระหว่างนักวิชาการกับชาวบ้าน ขาดการถ่ายทอดองค์ความรู้ และเทคโนโลยี ดังนั้น หากจะสนับสนุนให้ผึ้งเป็นแมลงเศรษฐกิจอย่างแท้จริง เกษตรกรควรรวมกลุ่มเพื่อแชร์ข้อมูลความรู้ ด้วยการตั้งสหกรณ์ผู้เลี้ยงผึ้งทำให้มีอำนาจการต่อรอง และมีความเป็นอยู่ดีขึ้น” นักวิจัยกล่าว







