'สิงเทล'ซื้อหุ้น'อินทัช' 21% รุกตลาดเอเชีย

"สิงเทล" ซื้อหุ้น "อินทัช" 21% คิดเป็นเงิน 40,959 ล้านบาท ขึ้นแท่นหุ้นใหญ่อันดับ 1 ด้านกสทช.เร่งสอบโครงสร้างหุ้น เข้มต่างชาติถือไม่เกิน 49%
บริษัท สิงคโปร์เทเลคอมมูนิเคชั่นส์ (สิงเทล) ซึ่งเป็นบริษัทโทรคมนาคมรายใหญ่ที่สุดในเอเชียอาคเนย์ ลงทุน 2,470 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ เพื่อซื้อหุ้นในผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือรายใหญ่ของไทยกับอินเดีย หวังบุกตลาดเกิดใหม่ในเอเชียมากขึ้นเพื่อกระตุ้นการเติบโต
สิงเทล ระบุว่าได้เข้าซื้อหุ้น 21% ในบริษัทอินทัช โฮลดิงส์ เป็นมูลค่า 1,590 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ จากเทมาเส็ก และซื้อหุ้นอีก 7.39% ในบริษัทภาร์ตีเทเลคอมของอินเดียเป็นมูลค่า 884 ล้านดอลลาร์ จากเทมาเส็กเช่นกัน
บริษัทอินทัช เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุดในบริษัทแอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (เอไอเอส) ซึ่งสิงเทลมีหุ้นอยู่แล้ว 23.3%
นายชัว ซอคคุง หัวหน้าคณะเจ้าหน้าที่บริหารสิงเทล กล่าวว่าไทย อินเดีย และแอฟริกา ยังเป็นตลาดที่มีความน่าดึงดูดและมีการขยายตัวสูงสำหรับสิงเทล
การเข้าซื้อหุ้นครั้งนี้จะเพิ่มบทบาทของสิงเทลในภาคโทรคมนาคมที่มีการขยายตัวสูงในไทยและอินเดีย โดยอินเดียเป็นตลาดโทรศัพท์มือถือรายใหญ่อันดับ 2 ของโลก รองจากจีน ในแง่ของลูกค้า
สิงเทล ซึ่งเป็นบริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดของสิงคโปร์ในตลาดหลักทรัพย์ ได้เข้าซื้อหุ้นในบริษัทมือถือหลายแห่งในภูมิภาคตลอดช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมานอกเหนือจากตลาดในบ้านเกิดซึ่งมีขนาดเล็ก รวมถึงมีหุ้นผู้ให้บริการมือถือในฟิลิปปินส์และอินโดนีเซีย ซึ่งทำให้ธุรกิจต่างแดนมีสัดส่วน 75% ในรายได้และผลประกอบการหลักของสิงเทล
นอกจากนั้น บริษัทยังมีการดำเนินงานในออสเตรเลียผ่านออปตัส ซึ่งเป็นบริษัทลูก
เทมาเส็กคาดดีลสิงเทลซื้อหุ้นเสร็จธ.ค.59
ด้านเทมาเส็กโฮลดิงส์ ซึ่งเป็นบริษัทเพื่อการลงทุนของรัฐบาลสิงคโปร์และถือหุ้น 51.1% ในสิงเทล แถลงว่าบริษัทปรับพอร์ตลงทุนเป็นระยะๆอยู่ตลอด และยอมรับข้อเสนอจากสิงเทลในครั้งนี้หลังจากประเมินแล้วอย่างรอบคอบ ทั้งยังเชื่อว่าความร่วมมือครั้งนี้จะเป็นผลดีสำหรับผู้ถือหุ้นในระยะยาว
ข้อตกลงนี้ยังต้องผ่านการอนุมัติจากผู้ถือหุ้นและผู้ดูแลกฎระเบียบ โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือนธ.ค. 2559
ข่าวนี้ทำให้ราคาหุ้นของสิงเทลเพิ่มขึ้น 1% ด้านบริษัทโนมูระกล่าวว่าการเพิ่มหุ้นดังกล่าว นับว่าสอดคล้องกับกลยุทธ์การลงทุนในปัจจุบันของสิงเทล และมีความเป็นไปได้ที่จะเพิ่มหุ้นอีกในอนาคต แต่ตลาดไทยกับอินเดียมีความผันผวนและไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะคำนวณโครงสร้างตลาดรวมถึงสภาพเศรษฐกิจในช่วง 10 ปีข้างหน้า
เมื่อสัปดาห์ที่แล้วสิงเทลรายงานกำไรสุทธิไตรมาสแรกเพิ่มขึ้นเล็กน้อย เป็น 944 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์
ระบุซื้อหุ้นราคา 60.68 บาทรวม 4 หมื่นล้าน
ด้านนายฟิลิป เชียง ชอง แทน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ แจ้งผ่านตลาดหลักทรัพย์ว่า ตามที่ สิงเทล ได้แจ้งตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ เมื่อ 18 ส.ค. 2559 ว่าได้เข้าทำสัญญาซื้อหุ้นของบริษัทแบบมีเงื่อนไขจากบริษัท แอสเพน โฮลดิ้งส์ สัดส่วน 21% ในราคา 60.83 บาท คิดเป็นมูลค่าเงินลงทุนราว 40,959 ล้านบาท ขณะที่ราคาหุ้นอินทัชวานนี้ปิดตลาดที่ 61.75 บาทลดลง 0.40%
อย่างไรก็ตาม การทำรายการดังกล่าว่า ต้องได้รับการอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นของ สิงเทล และหน่วยงานกำกับดูแลที่เกี่ยวข้อง คาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือน ธ.ค. 2559
บริษัทชี้แจงว่า ขณะนี้ ยังไม่ได้รับการแจ้งอย่างเป็นทางการในกรณีดังกล่าวจากกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทแต่อย่างใด
สัดส่วนถือหุ้นในแอดวานซ์ขยับเป็น31.81%
สำหรับโครงสร้างผู้ถือหุ้นของอินทัช ณ วันปิดสมุดทะเบียนล่าสุดนั้น แอสเพน ถือหุ้นในสัดส่วน 40.50% หากการทำรายการดังกล่าวเกิดขึ้นจริง จะทำให้สัดส่วนการถือหุ้นลดลงเหลือ 19.5% และ สิงเทล จะขึ้นมาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 1 ในสัดส่วน 21%
นอกจากนี้ การที่ สิงเทล เข้ามาถือหุ้นในอินทัช จะทำให้สัดส่วนการถือหุ้นในแอดวานซ์ อินโฟว์ เซอร์วิส เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน เพราะอินทัชเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในแอดวานซ์ 40.45% ขณะที่ สิงเทล ก็ถือหุ้นอยู่ในแอดวานซ์ 23.32% ดังนั้นหลังการทำรายการจะทำให้สัดส่วนการถือหุ้นเพิ่มอีก 8.49% รวมเป็น 31.81%
กสทช.เร่งสอบโครงสร้างหุ้นอินทัช
ด้านนายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการคณะกรรมการกิจการวิทยุกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) กล่าวว่า ทราบข่าวการขอเข้าซื้อหุ้นครั้งนี้แล้ว โดยสั่งให้ผู้อำนวยการสำนักงานกำกับดูแลกิจการโทรคมนาคมประสานขอข้อมูลจาก ก.ล.ต.แล้ว
สิ่งที่ กสทช.ทำได้ คือ การเข้ามาถือหุ้นของนักลงทุนต่างชาติ ทำให้เกิดถือครองหุ้นเกิดสัดส่วนที่กฎหมายกำหนดไว้ 49% หรือไม่ และจะเข้ามาเปลี่ยนแปลงการบริหารงานที่มีผล กระทบต่ออุตสาหกรรมโทรคมนาคมหรือไม่ โดยให้เวลาตรวจสอบข้อมูลภายใน 1 สัปดาห์ จากนั้นจะรายงานต่อคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคม (กทค.)
“ผมไม่อยากคอมเมนต์อะไรตอนนี้ เพราะยังไม่รู้รายละเอียดว่าเป็นอย่างไรบ้าง ซึ่งตามหลักหากเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้น ทางอินทัชก็ต้องแจ้งเราอยู่แล้ว"







