เสิร์ช ‘แสนรู้’ สแกนทุกอณูแบรนด์บนโซเชียลฯ

เสิร์ช ‘แสนรู้’ สแกนทุกอณูแบรนด์บนโซเชียลฯ

“ถามว่าเราอยากเป็นเหมือนอาลีบาบา เหมือนกูเกิลไหม คำตอบคือใช่ นั่นเป็นเป้าหมายไกลๆของเราแต่ก็ต้องมีไมล์สโตนที่เป็นไปได้ด้วย”

เป้าหมายจาก “อ๋อม อุดมศักดิ์ ดอนขำไพร” ผู้ก่อตั้งและประธานคณะผู้บริหารฝ่ายเทคโนโลยี (ซีทีโอ) บริษัท อินเตอร์เน็ต เบส บิสิเนส กรุ๊ป (ไอบีจี) จำกัด ผู้พัฒนาเสิร์ช เอ็นจิ้นสายพันธุ์ไทย “แสนรู้ (Zanroo)” ที่ไม่ใช่แค่เครื่องมือค้นข้อมูลธรรมดาๆ แต่บอกได้ถึงระดับที่คนบนโลกออนไลน์คิดกับแบรนด์อย่างไร


ยิ่งในยุคที่เสียงของคนบนอินเทอร์เน็ตดังกว่าและมีอิทธิพลต่อแบรนด์มหาศาล ชนิดที่เห็นได้จากตัวอย่างหลายกรณีที่กระแสบนอินเทอร์เน็ตมีผลขนาดแจ้งเกิดหรือดับแบรนด์ได้แค่โพสต์ๆเดียว ยิ่งทำให้การดูฟีดแบ็คของแบรนด์จากโซเชียลฯหรือโลกออนไลน์ได้นั่นคือ แต้มต่อความได้เปรียบของธุรกิจ

ถามได้ตอบได้
หลักการของแสนรู้ไม่ต่างอะไรกับ“เสิร์ช เอ็นจิ้น” ที่มีบอตวิ่งเก็บข้อมูลบนโลกออนไลน์มาจัดระเบียบไว้แล้วทำระบบค้นหาให้ได้ตามคีย์เวิร์ด ซึ่งก็เทียบได้กับหลักการเดียวกับระบบค้นหาที่คุ้นเคยอย่างกูเกิล เพียงแต่การตอบโจทย์ที่ต่างกัน

อธิบายให้ชัดมากขึ้นอีก เช่น หากค้นคำว่า “ณเดชน์” บนกูเกิลอาจได้ผลมาเป็นเว็บวิกิพีเดีย แต่ถ้าค้นผ่านแสนรู้ผลที่ได้ คือ คนพูดถึงณเดชน์ผ่านเว็บ หรือโซเชียล มีเดียช่องทางใดบ้าง และผลวิเคราะห์ที่ออกมาเป็นข้อมูลกราฟได้ทันทีว่า ใครพูดถึงณเดชน์เป็นบวกหรือลบ เป็นการอนาไลติคแบบเรียลไทม์ ต่างกับกูเกิลที่เหมือนค้นหาข้อมูลในห้องสมุด

สำหรับธุรกิจแล้ว เครื่องมือประเภทแสนรู้มีประโยชน์มากในมุมที่สามารถวัดผลลัพธ์ของแบรนด์ การแก้ปัญหาธุรกิจที่ทำได้เร็วและตรงจุด ดูคู่แข่ง หรือแม้แต่ใช้เพื่อดูเทรนด์ของตลาด และพัฒนาผลิตภัณฑ์ออกมาตอบโจทย์ ซึ่งต่างกับซอฟต์แวร์อนาไลติค ทั่วไปตรงที่เป็นเครื่องมือเพิ่มพลังการตลาดบนโลกออนไลน์ได้ดีกว่า

อ๋อมยอมรับว่า ตอนที่แสนรู้เริ่มเข้าสู่ตลาด 4-5 ปีที่แล้ว ยังไม่มีใครรู้เลยว่าสิ่งที่แสนรู้นั่น คือ “โซเชียล ลิสเซนนิ่ง” และการวิเคราะห์ข้อมูลมหาศาลมันคือ บิ๊ก ดาต้า "

วันที่เริ่มต้นธุรกิจแสนรู้ก็มีบริษัทแบบนี้อยู่แล้วในตลาดทั้งของไทยหรือต่างประเทศ แต่จุดต่างที่ชัดเจนคือ การเป็นเสิร์ช เอ็นจิ้นที่ดีไซน์มาเพื่อตลาดเฉพาะ และระบบทำงานได้ไวมาก ไม่เกิน 5 วินาที ได้ผลลัพธ์ที่วิเคราะห์ออกมาเสร็จสรรพ ซึ่งเป็นความโชคดีที่เกิดจากการพัฒนาระบบเก็บข้อมูลเองมาตั้งแต่แรก

ตั้งรับธุรกิจขาลง
“ชิตพล มั่งพร้อม” ประธานกรรมการบริหาร และผู้ก่อตั้งอีกคนของแสนรู้ บอกว่า นอกจากในไทยแล้วแสนรู้ยังเริ่มมีลูกค้าในต่างประเทศ เช่น มาเลเซีย 20-30 ราย ทั้งห้างสรรพสินค้า รัฐบาล ธนาคาร และธุรกิจอสังหาฯ รวมถึงประเทศรอบๆอย่างเมียนมา, สิงคโปร์ และฮ่องกง เข้าไปเริ่มต้นหาเครือข่ายธุรกิจด้วยตัวเอง

โดยสิ่งที่นอกเหนือจากผลิตภัณฑ์ที่ดีแล้วคือ ความน่าเชื่อถือก็เป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้ธุรกิจหน้าใหม่สามารถเติบโตในตลาดทั้งในและต่างประเทศได้โดยไม่ต้องอาศัยเครดิตของใคร


แสนรู้เกิดมาเมื่อประมาณปี 2551 จากจุดเริ่มต้นที่อยากทำเสิร์ช เอ็นจิ้น แต่ตอนนั้นทำเงินไม่ได้ เลยลองเปลี่ยนโมเดลจากความตั้งใจเพื่อจะทำให้คนทั่วไปใช้มาเป็นเสิร์ช เอ็นจิ้นที่ขายให้องค์กรใช้ เป็นเครื่องมือให้แบรนด์สามารถฟังเสียงผู้บริโภคได้ ดูกระแสของแบรนด์บนโซเชียลฯ
ก่อนเริ่มต่อยอดให้แบรนด์ใช้เป็นเครื่องมือรักษาฐานลูกค้า (ซีอาร์เอ็ม) ที่เข้ากับยุคสมัยโซเชียลครองเมืองได้เป็นอย่างดี

“เราไม่เคยมองตัวเองว่าเราเหมือนสตาร์ทอัพ เพราะเราไม่รู้จักว่าสตาร์ทอัพ คือ อะไร แต่ถ้าให้เทียบเราคงเหมือนกับสตาร์ทอัพประเภทที่มีฝัน แล้วทำฝันให้ได้เงินมา สิ่งที่เราทำมันไม่ต้องลงทุนสูง แต่ฝันใหญ่และทำให้ได้จนสามารถจดทะเบียนบริษัทด้วยเงินลงทุนคนละ 3,600 บาทในตอนนั้น”


อย่างไรก็ตามซีอีโอบอกว่า ธุรกิจทุกอย่างมีขึ้นก็ต้องมีลง แสนรู้เริ่มมองเห็นกราฟขาลงที่รออยู่อีกไม่กี่ปีข้างหน้า หากแต่สิ่งที่สำคัญคือ แม้ธุรกิจจะตก แต่สิ่งที่ยังอยู่คือ องค์ความรู้ และทีม ที่จะต้องต่อยอดธุรกิจให้ได้

ขยับใช้เทคโนฯระดับโลก
การลงทุนของแสนรู้ยังเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไปตามการขยายตัวข้อมูล ซึ่งปัจจุบันขยับมาใช้เทคโนโลยีดาต้า เซ็นเตอร์ผ่านคลาวด์ของไอบีเอ็ม (ซอฟต์เลเยอร์) ที่เพิ่มความปลอดภัยและความเสถียรให้ข้อมูลมากขึ้น และเตรียมระบบเพื่อรองรับการขยายตัวของธุรกิจและยังนับเป็นลูกค้าคลาวด์รายใหญ่ที่สุดของไอบีเอ็ม


นอกจากนี้ ยังปรับปรุงระบบจนได้มาตรฐานไอเอสโอ 27001 (อินฟอร์เมชั่น ซีเคียวริตี้ แมเนจเมนท์) ซึ่งเป็นการปกป้องข้อมูลทั้ังในฐานะข้อมูลและคลาวด์ รวมถึงเป็นมาตรฐานเอส เอสแอลระดับเอ+ที่การันตีความปลอดภัยข้อมูลระดับสูงสุด และเร็วๆ นี้ แสนรู้จะร่วมมือกับ “เฟซบุ๊ค” นำข้อมูลมาใช้ในมุมมาร์เก็ตติ้ง อยู่ระหว่างแลกเปลี่ยนมุมมองธุรกิจกัน

อย่างไรก็ตาม เรื่องภาษาถือว่าเป็นจุดยากสุดจุดหนึ่งของซอฟต์แวร์ แต่ก็เป็นความโชคดีที่ระบบแสนรู้เริ่มต้นจากภาษาไทย เพราะระบบวิเคราะห์อารมณ์ของภาษา (Sentiment) ที่มีในท้องตลาดเป็นระบบที่เขียนขึ้นบนพื้ีนฐานการวิเคราะห์อารมณ์ของภาษาอังกฤษ แต่สำหรับภาษาไทยไม่มี ทำให้เป็นปัญหาที่แสนรู้ค่อยๆ ปรับแก้มาตั้งแต่เริ่ม จนปัจจุบันความถูกต้องมาถึงระดับ 80% แล้ว ครอบคลุม 8-9 ภาษา และสามารถเซตระบบในภาษาใหม่ได้ในเวลาไม่ถึงสัปดาห์

“พอเราทำแล้วเวิร์คมาก ตลาดแรกที่ออกไปนอกประเทศ คือ มาเลเซีย ซึ่งมีภาษาท้องถิ่นถึง 6 ภาษาที่เอ็นจิ้นของเราทำงานได้ และได้ลูกค้ามาทันที เพราะบริษัทซอฟต์แวร์รายใหญ่ๆ ไม่มีเอ็นจิ้นในแบบที่แสนรู้มี”

ตั้งสำนักงานใหญ่ลอนดอนเตรียมไอพีโอ
วันที่แสนรู้เปิดตัวธุรกิจวันแรก เริ่มคิดใหญ่จริง แต่ไม่คิดว่าจะใหญ่มาได้ขนาดนี้ เดิมทีตั้งเป้าว่าบริษัทมีมูลค่าพันล้านก็คุ้มแล้ว แต่ตอนนี้มีคนตีมูลค่าบริษัทแสนรู้เกินพันล้านไปแล้ว ไกลเกินกว่าที่ฝันไว้มาก ความตั้งใจถัดจากนี้ คือ ขยายตลาดให้ได้ 14 ประเทศ จาก 6 ประเทศตอนนี้และมีสำนักงานดูแลตลาดโดยเฉพาะ รวมถึงกำลังทำสำนักงานในฮ่องกงด้วย ส่วนออฟฟิศในไทยส่วนใหญ่จะเป็นงานอาร์แอนด์ดีเป็นหลัก และงานมาร์เก็ตติ้ง

ปัจจุบันมีรายได้ 100-200 ล้านบาท ลูกค้ามากกว่า 100 ราย มูลค่าบริษัทอยู่ที่ 45 ล้านดอลลาร์ ที่ประเมินจากการเติบโตชนิดก้าวกระโดดจากปีแรกที่เปิดตัวมีรายได้ 1 ล้านบาท ก่อนจะกระโดดไปที่ 17 ล้านบาทในปีที่่สอง และ 70 ล้านในปีที่สาม และปีนี้มีแนวโน้มจะทะยานเกิน 100 ล้านบาท

“อ๋อม” บอกว่า รายได้ของแสนรู้มีแนวโน้มจะเกิน 100-200 ล้านบาทปีนี้ แผนธุรกิจที่วางไว้ คือ 2 ปีจากนี้อาจเริ่มเปิดขายไอพีโอ เพื่อคืนทุนให้กับบริษัทและขยายตลาดให้กว้างขึ้น โดยเริ่มต้นเปิดสำนักใหญ่ในกรุงลอนดอนของอังกฤษแล้ว เพื่อเตรียมความพร้อมโครงสร้าง และรองรับลูกค้าในตลาดอังกฤษ ซึ่งเป็นธุรกิจในกลุ่มบันเทิง

“เราวางแผน 2 ปีจากนี้จะเริ่มเปิดขายไอพีโอจากนี้ แต่ถึงเวลานั้นจริงๆก็อาจจะไม่ไอพีโอก็ได้ เพราะต้องเข้าใจว่าการเปิดขายหุ้นแปลว่าเราต้องพร้อมที่จะสูญเสียความเป็นตัวเองไป การเข้าตลาดได้ไม่ใช่จุดความสำเร็จของเรา จุดสำเร็จของเราคือ เราไปต่อข้างหน้าได้เรื่อยๆ”