นำความทรงจำกลับมา

ดร.อดิสร ติดตามการดำเนินโครงการพัฒนา Memory Chip เก็บความทรงจำของมนุษย์ โดยองค์กรทุนที่ชื่อ DARPA
ความทรงจำที่เลือนหายไปนั้น ไม่ว่าจะเป็นความทรงจำที่ค่อยๆเลือนหายไปกับการเวลา หรือความทรงจำที่สูญเสียไปภายหลังได้รับอุบัติเหตุรุนแรง ย่อมให้ผลที่แตกต่างกัน การสูญเสียความทรงจำไปมากๆ หรือทั้งหมดในคราวเดียวกันนั้น ยอมส่งผลกระทบรุนแรงให้กับมนุษย์ เพราะการดำรงชีวิตต่างๆ ต้องดำเนินไปด้วยความทรงจำและการเรียนรู้ที่ได้สะสมมา
ถ้าคุณๆ ได้อ่านบทความของผมในคราวที่แล้ว คงทราบกันอยู่แล้วว่า U.S. Defense Advanced Research Projects Agency (DARPA) ได้สร้างเครือข่ายวิจัยในเรื่อง Restoring Active Memory หรือเรียกสั้นๆว่า RAM Program เพื่อต้องการสร้างชิปความทรงจำหรือที่เรียกว่า Memory Chip ที่เก็บความทรงจำของมนุษย์ และสามารถนำไปปลูกถ่ายให้ผู้ที่สูญเสียความทรงจำได้
หน่วยงานที่ได้รับทุนวิจัยนี้ไปแล้วคือ Computational Memory Lab ตั้งอยู่ที่ University of Pennsylvania แล็บนี้ได้ศึกษาวิจัยเกี่ยวกับ กระแสไฟฟ้าในสมองกับการเชื่อมต่อกันของสมองส่วนที่เก็บความทรงจำ
งานวิจัยนี้จะสำเร็จได้ต้องได้รับการร่วมมือจากนักวิจัยที่มีความเชียวชาญในหลายๆด้าน ดังนั้น ทีมวิจัยที่สองนำโดย Itzhak Fried ผู้อำนวยการ The Cognitive Neurophysiology Laboratory ตั้งอยู่ที่ University of California, Los Angeles ได้เข้ามาร่วมงานวิจัยในครั้งนี้โดยทีมวิจัยของ Fried ได้โฟกัสไปที่ ส่วนของสมองที่เรียกว่า Entorhinal cortex ซึ่งสมองส่วนนี้เป็นช่องทางเชื่อมไปสู่สมองส่วน hippocampus ซึ่งเป็นส่วนหลักที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับความทรงจำ ในการทดลองเมื่อปี 2012 เขาได้ค้นพบว่าถ้ากระตุ้นสมองส่วนนี้จะเพิ่มประสิทธิภาพด้านความจำ
ทีมวิจัยของเขายังทำงานร่วมกับ Lawrence Livermore National Laboratory ในมลรัฐ California เพื่อการพัฒนาอุปกรณ์ที่สามารถส่งสัญญาณกลับมาในขณะที่กระตุ้นสัญญาณออกไป โดยได้ใช้ประโยชน์จากเทคนิคใน อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ เพื่อสร้างชิปขนาดเล็กที่สามารถฝังในร่างกาย โดยการพิมพ์ขั้วไฟฟ้าอิเล็กโตรดบนแผ่นพอลิเมอร์
หลังจากนั้นนำไปม้วนติดกับแท่งซึ่งมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1 มิลลิเมตร แล้วนำแท่งนี้ไปฝังในสมอง โดยแต่ละแท่งจะมีอิเล็กโตรดขนาดบางเท่าเส้นผมมากถึง 64 ตัว ซึ่งจำทำหน้าที่ทั้งส่งสัญญาณกระตุ้นสมองและรับสัญญาณตอบสนองจากสมองมาศึกษาต่อไป
เป้าหมายร่วมกันในงานวิจัยนี้คือ การนำมาใช้งานให้ได้ในระยะเวลา 4 ปีนับจากนี้ ซึ่งโจทย์นี้ก็เป็นสิ่งที่ท้าทายนักวิจัยในโครงการเป็นอย่างมากในการทำงานให้สำเร็จบรรลุเป้าหมายในกรอบระยะเวลาที่วางไว้ ในส่วนตัวของผมแล้วการตั้งโจทย์วิจัยที่ท้าทายและมีเป้าหมายที่ชัดเจนไม่ว่าจะเป็นเป้าหมายในความสำเร็จของงาน หรือเงื่อนไขของระยะเวลาที่กำหนดนั้น เป็นตัวกระตุ้นให้งานนั้นมีโอกาสสำเร็จสูง
อยากให้หน่วยงานให้ทุนวิจัยในประเทศเรานำไปปฏิบัติบ้าง ถ้างานวิจัยนี้สำเร็จได้ดังที่ทีมวิจัยทั้งหลายได้ตรงตามวัตถุประสงค์และตรงตามเงื่อนเวลา นั้นหมายถึงอีกเพียง 4 ปีเท่านั้น มนุษย์จะสามารถ Back up ของมูลในสมองเก็บไว้เพื่อนำกลับมาใช้ใหม่ในอนาคต
จะว่าไปแล้วคงดีไม่น้อยถ้าเราสามารถบันทึกความทรงจำของคนแต่ละยุคแต่ละสมัยไว้ได้ และที่สำคัญไปกว่านั้น มนุษย์จะไม่ต้องกังวลหรือหดหู่กับอาการความทรงจำเลือนลางอีกต่อไป
* บทความโดย ดร. อดิสร เตือนตรานนท์ นักวิจัยอาวุโส ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ /ผู้เชี่ยวชาญ สถาบันวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีชั้นสูง สำนักงานคณะกรรมการนโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งชาติ







