วิษณุพงษ์ วงศ์วาสน์ ส่งพีโอเอสขึ้นคลาวด์-แทบเล็ต

วิษณุพงษ์ วงศ์วาสน์
ส่งพีโอเอสขึ้นคลาวด์-แทบเล็ต

โชห่วย น่าจะมีส่วนแบ่งมากที่สุดประมาณ 70% ของเป้าหมาย

ระบบพอยต์ ออฟ เซล หรือพีโอเอส ดูเหมือนจะเป็นระบบไอทีเก่าๆ ที่อยู่คู่กับการค้ามาหลายสิบปี แต่เมื่อมาถึงยุคของคลาวด์ คอมพิวติ้ง และแทบเล็ต ตลาดไอทีแขนงนี้น่าจะได้รับการปลุกชีพขึ้นมาอีกครั้ง แถมขยายตลาดเข้าถึงร้านโชห่วย ที่เหมาะแก่การลงทุนน้อยๆ ไม่ต้องมีผู้ดูแลระบบไอทีเอง

บริษัทเอด้าซอฟท์ จำกัด ผู้พัฒนาระบบพีโอเอส หรือระบบบริหารจัดการหน้าร้าน-หลังร้าน สำหรับธุรกิจค้าปลีก ที่อยู่ในธุรกิจมา 14 ปี ล่าสุด บริษัทได้พัฒนาระบบบริหารจัดการหน้าร้านบนแทบเล็ต ชื่อ "เอด้าโพสมอร์" (AdaPos more+) เพื่อตอบโจทย์ธุรกิจค้าปลีกขนาดเล็ก โดยเฉพาะร้านโชห่วย ภายใต้แนวคิด ติดตั้งเร็ว ใช้งานง่าย ในราคาที่ใครก็จ่ายได้

"กรุงเทพไอที" มีสัมภาษณ์ "นายวิษณุพงษ์ วงศ์วาสน์" ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเอด้าซอฟท์ จำกัด ถึงแนวคิดการพัฒนาระบบใหม่ขึ้นมาครั้งนี้ พร้อมมุมมองต่ออนาคตของพีโอเอสแบบเดิม

- ใช้เวลาพัฒนานานไหม และทำไมถึงคิดทำขึ้น

เอด้าโพสมอร์ ใช้เวลาพัฒนามาประมาณ 2 ปี หลังจากเห็นว่ายุคนี้เป็นยุคของโมบาย และคลาวด์ คอมพิวติ้ง จึงคิดนำระบบไปอยู่บนแทบเล็ต ทำงานร่วมกับระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ และไอโอเอส แต่เครื่องที่ใช้ระบบแอนดรอยด์จะราคาย่อมเยากว่า ซื้อได้ในราคา 3-4 พันบาทจึงทำเสร็จก่อน ใช้งานร่วมกับพรินเตอร์ และสแกนเกนอร์ที่ราคาไม่ถึง 1 หมื่นบาทร้านค้ารายย่อยสามารถลงทุนได้

- วางเป้าหมายไว้อย่างไรบ้าง

บริษัทวางกลุ่มเป้าหมายแรกไว้ที่กลุ่มร้านค้าโชห่วย ที่มักไม่มีเทคโนโลยีเข้ามาช่วยงาน และต้องแข่งขันกับธุรกิจต่างชาติ หากมีซอฟต์แวร์และอุปกรณ์มาช่วยบริหารจัดการ ทั้งงานขาย การทำโปรโมชั่น จัดการสต็อกสินค้า ทำให้ทราบต้นทุน สินค้าไหนขายดีจะได้สั่งเข้ามามาก สินค้าขายไม่ดีหรือที่เรียกว่าสินค้าตายแล้ว ไม่ควรสั่งเข้ามาขายอีก นำออกจากชั้นวาง

กลุ่มที่สองเป็นร้านกาแฟ ที่เปิดกันมากแต่ไม่มีระบบบริหารจัดการ ไม่มีข้อมูลสินค้าขายดีขายไม่ดี กลุ่มที่สาม ร้านเสริมสวย ทำผม ที่ต้องเก็บเงิน จ่ายค่าช่าง การเก็บสต็อกน้ำยาต่างๆ การจำหน่ายน้ำยาออกไป ซึ่งปัจจุบันร้านเหล่านี้มีเปิดสาขากันมาก แต่ไม่มีระบบบริหารจัดการเช่นกัน

กลุ่มที่สี่ ร้านจิวเวลรี่ เครื่องสำอาง ประเภทตู้ในห้างสรรพสินค้า ที่ทุกวันนี้ใช้วิธีฝากขาย ต้องเช็คยอดจากห้าง บอกได้แค่ว่าร้านไหนขายดีเท่าไร ซึ่งนำพีโอเอสไปติดตั้งไม่ได้เพราะมีขนาดใหญ่ หากลดขนาดเหลือแทบเล็ตจะวางได้สะดวก

- สัดส่วนรายได้จะเป็นอย่างไรในสี่กลุ่มนี้

คิดว่ารายได้จากโชห่วยน่าจะเยอะที่สุด รองลงมาเป็นเคาน์เตอร์ เพราะนำซอฟต์แวร์มาช่วยแก้ปัญหาจะทำให้เกิดรายได้มาก ส่วนร้านกาแฟ ร้านเสริมสวยต้องให้ความรู้อีกเยอะในช่วง 2-3 เดือนแรก แต่ก็ถือเป็นโอกาสทางธุรกิจ

- ร้านกระจัดกระจายขนาดนั้น จะดูแลอย่างไร แต่เห็นมีพันธมิตรทางธุรกิจด้วย ทำหน้าที่อะไรบ้าง

บริษัทร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจคือ บมจ.ซีเอสล็อกซอินโฟ ในฐานะผู้ให้บริการระบบคลาวด์ คอมพิวติ้ง พร้อมทั้งดูแลงานคอลล์ เซ็นเตอร์ คอยตอบคำถามลูกค้าที่ใช้งานไปแล้วมีปัญหา หรือคำถาม กับบริษัท แอดไวซ์ โฮลดิ้งส์ กรุ๊ป จำกัด ตัวแทนกระจายซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ออกสู่ตลาด

ที่เราไปร่วมมือกับแอดไวซ์ ก็เพื่อตอบโจทย์นี้ เขามี 250 สาขาทั่วประเทศ จะทำหน้าที่เป็นจุดสาธิตให้ลูกค้า เราจะประชาสัมพันธ์แล้วให้ลูกค้าไปดู ไปทดลองที่แอดไวซ์ หรือถ้าลูกค้ามีแทบเล็ตก็ดาวน์โหลดโปรแกรมไปทดลองใช้เอง

ส่วนเราเองจะผลิตซอฟต์แวร์ ทำหน้าที่อยู่เบื้องหลัง และช่วยแก้ปัญหาที่ยากกว่าคอลล์เซ็นเตอร์จะตอบได้ รวมทั้งร่วมออกโรดโชว์กับทีมของแอดไวซ์ไปยังสาขาต่างๆ เบื้องต้น 20 สาขาทั่วประเทศ

- ซอฟต์แวร์ให้บริการบนคลาวด์ แล้วคิดค่าใช้จ่ายอย่างไร

คิดค่าใช้จ่ายรายเดือนๆ ละ 900 บาท เป็นแอส อะ เซอร์วิส มีซอฟต์แวร์ทุกฟังก์ชั่น จ่ายเงินมาก็ใช้ซอฟต์แวร์ได้เลย สำหรับโชห่วยนี่เราจะมีฐานข้อมูลสินค้าอุปโภค บริโภค มากกว่า 2 แสนรายการเตรียมไว้ให้บนคลาวด์ พอเริ่มใช้งานก็แค่หยิบสินค้ามาสแกน แล้วแก้ไขราคาให้ตรงกับทางร้านต้องการขาย หรือจะกำหนดส่วนลดเป็นแมน่วล รวมถึงตั้งส่วนลดโปรโมชั่น กำหนดช่วงเวลากี่โมงถึงกี่โมง เพื่อดึงดูดลูกค้าช่วงไม่ค่อยมีคน ทำได้หมด

- วางเป้าหมายอย่างไร

บริษัทตั้งเป้า 2 ปีจะมีลูกค้ารวม 3 หมื่นราย กลุ่มร้านค้าปลีก โชห่วย น่าจะมีส่วนแบ่งมากที่สุดประมาณ 70% ของเป้าหมาย ที่เหลือเป็นกลุ่มอื่นๆ เนื่องจากประเทศไทยมีธุรกิจรีเทล เอสเอ็มอีประมาณ 5 แสนราย โชห่วยมีประมาณครึ่งหนึ่ง 2.5-3 แสนราย พวกนี้่เป็นกลุ่มเป้าหมายของเรา

เดิมร้านค้าปลีกประมาณ 65% จะไม่ได้ใช้พีโอเอส ส่วนใหญ่ใช้เครื่องบันทึกเงินสด (อีซีอาร์) ที่ลงทุนเครื่องละ 1 - 3 หมื่นบาท ดังนั้น อนาคตระบบของบริษัทซึ่งใช้งานร่วมกับแทบเล็ต ซึ่งใช้เงินลงทุนระดับใกล้เคียงกัน น่าจะมาทดแทนได้

การทำตลาดระบบเอด้าโพสมอร์ ไม่ได้ตั้งเป้าเฉพาะประเทศไทย แต่จะใช้เวลาวัดผล 3-6 เดือนในประเทศ ก่อนก้าวไปเออีซี อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม โดยจะไปอินโดนีเซียก่อน เพราะขนาดประชากรใหญ่ บริษัทเคยไปออกเอ็กซิบิชั่นมา 2 ปีติดกัน ซึ่งการแข่งขันที่นั่นแรง มีผู้ให้บริการในประเทศอยู่ แต่ระบบแบบนี้ที่ใช้กับแทบเล็ตยังไม่มี โมเดลธุรกิจนี้น่าจะถูกทาง และอีกหน่อยคู่แข่งก็น่าจะมาทางนี้

- ทำพีโอเอส รายได้เป็นอย่างไร

ได้ค่าไลเซ่น จากซอฟต์แวร์ และเรามีเครื่องพีโอเอสที่ออกแบบ และจ้างฮ่องกงผลิต ชื่อ สไปค์ (SPIKE) มีที่มาจากลูกชายผม บอกว่า Spinosaurus ไดโนเสาร์ขนาดใหญ่ที่เอาชนะ T-Rex ได้ ซึ่งคู่แข่งตั้งชื่อระบบว่า T-Rex

- พอระบบใหม่มา ตลาดพีโอเอสจะเปลี่ยนไปไหม

ก็เป็นไปได้ ต่อไปอาจจะเปลี่ยนเป็นระบบเช่าใช้ เป็นแอส อะ เซอร์วิส หลังระบบบนแทบเล็ตออกมา คงจะค่อยๆ เปลี่ยนไป แม้แต่ลูกค้าที่ใช้พีโอเอสเดิมก็น่าจะปรับมาใช้ระบบใหม่ เพราะของเราไม่ใช่แค่พีโอเอส แต่มีออนไลน์ ทรานแซคชั่นอยู่ในตัว เช่น ซื้อบัตรเติมเงิน เกมออนไลน์ ผ่านระบบได้ ไม่ต้องตุนสินค้า ตัวร้านค้าก็ลดต้นทุน

ยกตัวอย่าง ร้านค้ามียอดขายออนไลน์เฉลี่ย 5,000 บาท ก็ทำแบงก์ การันตีกับบริษัทไว้ 5,000 บาท ขายหมดก็เติมใหม่ทุกวัน

- ปีนี้รายได้ของบริษัทเป็นอย่างไรบ้าง

ต้นปี บรรยากาศอึมครึม ไม่เกิดการซื้อขาย เราก็พัฒนาซอฟต์แวร์ไปเรื่อยๆ มีก็แต่ลูกค้าเก่าที่ไซต์ขนาดกลางขึ้นไปเข้ามาบ้าง แต่พอถึงตอนนี้ ลูกค้าเริ่มกลับมาแล้ว และน่าจะทดแทนที่หายไปต้นปีได้ ปี 2556 มีรายได้ 67 ล้านบาท ปีนี้น่าจะประมาณ 75 ล้านบาท มีโปรเจ็กต์ใหญ่รอปิด ถ้าปิดได้ก็น่าจะถึง เดือนที่ 6 เป็นต้นไปกราฟน่าจะดีขึ้น

- มีพนักงานมากไหม

62 คน อาจเพิ่มไม่เกิน 70 คน ถ้าต้องเพิ่มคนมากกว่านั้นแยกบริษัทดีกว่า ไม่อยากอุ้ยอ้าย ใจผม 50 คน กำลังดี หรือเข้าไปร่วมหุ้นกับบริษัทซอฟต์แวร์ที่มีอนาคต บางบริษัทก็นำผลงานมาต่อยอดกับผลิตภัณฑ์ของบริษัทด้วย

- เข้าประกวดซอฟต์แวร์อะไรกับเขาบ้างไหม

เคยประกวดเมื่อก่อน ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ แต่เดี๋ยวนี้มุ่งทำธุรกิจ ปล่อยให้รุ่นใหม่ประกวดไปดีกว่า เราได้รางวัลมาพอประดับบริษัทแล้ว