"เอาท์ซอร์สซิ่ง"สไตล์เดนตาเมท

"เอาท์ซอร์สซิ่ง"สไตล์เดนตาเมท

จากเป้าหมายการเป็นผู้นำในตลาดยาสีฟันสมุนไพร เดนตาเมท เดินตามรอยโมเดลธุรกิจแบบ เอาท์ซอร์สซิ่ง เพื่อสร้างแบรนด์

จากเป้าหมายการเป็นผู้นำในตลาดยาสีฟันสมุนไพร เดนตาเมท ไม่เพียงแต่จะเดินตามรอยโมเดลธุรกิจแบบ เอาท์ซอร์สซิ่ง หากยังมองข้ามช็อตไปถึงการสร้างแบรนด์เพื่อสร้างฐานลูกค้าและความเชี่ยวชาญในเวลาอันสั้น เพราะช่วยเพิ่มความรวดเร็วในการผลิตสินค้าและสามารถช่วงชิงโอกาสจากคู่แข่งได้

"แทนที่จะเสียเวลาในการบริหารจัดการโรงงาน กระบวนการผลิต ขนส่ง สู้เราเลือกผู้ที่มีความเชี่ยวชาญด้านผลิต คิดค้นสูตรยาสีฟันมาเป็นคู่ค้า โดยที่เราไม่ต้องลงทุนทางด้านทรัพย์สินด้วยตนเอง ลดความเสี่ยงในการลงทุนเหมือนอย่างแบรนด์ระดับโลกไม่ว่าจะเป็นไนกี้ อาดิดาส " ประพันธ์พงษ์ นทกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท โนวัส อินเตอร์เทรด จำกัด เจ้าของยาสีฟันสมุนไพร เดนตาเมท เล่าถึงที่มาของแนวคิด

กลยุทธ์นี้จึงเป็นเทคนิคในการบริหารอีกรูปแบบหนึ่งที่จะสามารถช่วยในการเติบโตของธุรกิจขนาดย่อม( SMEs) เนื่องจากส่วนใหญ่จะขาดทักษะการดำเนินงานในรูปแบบต่างๆ รวมถึงขาดแคลนทรัพย์สิน โดยเฉพาะเงินลงทุน ดังนั้นกลยุทธ์นี้จะช่วยให้ไม่จำเป็นต้องหาแหล่งเงินทุนมาลงทุนเองทั้งหมด แต่ใช้การสร้างเครือข่ายกับบริษัท โรงงานผู้ผลิตให้เอาท์ซอร์สกิจกรรมต่างๆ โดยเจ้าของแบรนด์ทำหน้าที่วางแผนประสานงาน ติดต่อสื่อสาร ควบคุมการดำเนินงานทั้งหมดทำให้แบรนด์เติบโตได้อย่างรวดเร็ว

แตกเซกเมนต์เจาะตลาด

ประพันธ์พงษ์ มองว่า สิ่งแรกที่ต้องทำก็คือการบุกเบิกตลาดยาสีฟันสมุนไพรแบบใหม่ขึ้นมาแทรกกลางระหว่าง ยาสีฟันแบรนด์ต่างชาติกับยาสีฟันสมุนไพรโอทอป นั่นก็คือที่มาของการผลิตยาสีฟันสมุนไพรแบรนด์ เดนตาเมท โดยใช้เวลาพัฒนาเกือบ 2ปี กว่าจะได้สูตรที่ต้องการ

8 ปีที่ผ่านมา ผลการตอบรับจากกลุ่มผู้บริโภค เหนือความคาดหมาย สังเกตได้จากยอดขายของเดนตาเมทขึ้นเป็น "เบสท์ เซลเลอร์" ในหมวดสินค้าของใช้ในโกลด์เด้นเพลสภายในระยะเวลาแค่ 6 เดือน ส่งผลให้

แบรนด์ได้รับการยอมรับจากช่องทางขายในซูเปอร์มาร์เก็ต เขามองว่า สิ่งสำคัญก็คือ คุณภาพของสินค้าที่สามารถตอบโจทย์ลูกค้า แม้ว่าคู่แข่ง(ทางอ้อม)จะเป็นแบรนด์ใหญ่ แต่ด้วยรสชาติที่รับรู้ได้ง่ายเนื่องจากเป็นผลิตภัณฑ์ที่ต้องสัมผัสกับลิ้นและเห็นผลได้เร็ว จึงสามารถสร้างความภักดีต่อแบรนด์ได้ดีกว่าสบู่หรือแชมพู

ชูนวัตกรรมสร้างความต่าง

ประพันธ์พงษ์ กล่าวว่า ปัจจุบันตลาดยาสีฟันมูลค่า 5,000 ล้านบาท แบ่งเป็นยาสีฟันครอบครัว 37% สมุนไพร 36% ยาสีฟันเฉพาะกลุ่ม (ฟันขาว ,ลดอาการเสียวฟัน ฯลฯ) 21% ยาสีฟันสำหรับเด็ก 6% เซกเมนต์ตลาดยาสีฟันสมุนไพรมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่องเมื่อเทียบเซกเมนต์อื่น เนื่องจากกลุ่มผู้ใช้หันมาใส่ใจกับการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสมุนไพรมากขึ้นแทนสารเคมี จึงเป็นโอกาสของยาสีฟันที่มีส่วนผสมของสมุนไพรที่เข้ามาทำตลาด

ในฐานะเป็นผู้นำในตลาดยาสีฟันสมุนไพรระดับพรีเมียม“เดนตาเมท” จึงได้พัฒนานวัตกรรมเพื่อตอกย้ำแบรนด์ ด้วยการนำเสนอยาสีฟันโฟม ซึ่งใช้สะดวกได้ทุกที่ทุกเวลา โดยสามารถใช้กลั้วปากเหมือนยาบ้วนปากหรือใช้ร่วมกับแปรงสีฟันแทนยาสีฟันทั่วไปได้ คาดว่า จะสามารถวางจำหน่ายช่วงไตรมาสสามปีนี้ พร้อมกับการวางจำหน่ายยาสีฟันในเซกเมนต์ฟันขาว

"จุดเด่นของแบรนด์คือ การนำเสนอนวัตกรรมทำความสะอาดในช่องปากที่แตกต่างจากผลิตภัณฑ์ที่จำหน่ายอยู่ในท้องตลาด ฉะนั้นเราจึงยังไม่ทำน้ำยาบ้วนปาก แปรงสีฟัน หรืออุปกรณ์อย่างอื่นที่นอกเหนือจากยาสีฟันจนกว่าจะมั่นใจว่า ได้นำเสนอนวัตกรรมที่เกี่ยวกับยาสีฟันครอบคลุมทุกความต้องการแล้ว"

จากประสบการณ์ ประพันธ์พงษ์ ค้นพบว่า สิ่งสำคัญในการทำตลาดก็คือ การโฟกัสสินค้าในตลาดที่ตนเองมีศักยภาพ จึงไม่น่าแปลกใจที่ตลอดระยะเวลา8 ปีที่ผ่านมา จึงทำตลาดแค่ยาสีฟันตัวเดียว จนกระทั่งเขามั่นใจและมีความพร้อม จึงออกนวัตกรรมเข้ามาในตลาดที่กลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อเพราะไม่สามารถแข่งขันราคากับแบรนด์ข้ามชาติได้ จึงเน้นการพัฒนาคุณภาพสินค้าที่ตอบโจทย์ลูกค้าเฉพาะที่มีกำลังซื้อเป็นหลัก

http://youtu.be/0VQXRgmkCZA