Frank Gehry สัญชาตญาณแห่งยุคสมัย

ครั้งแรกในเมืองไทยที่มีโอกาสพูดคุยอย่างใกล้ชิดกับสถาปนิกชื่อดังระดับโลก "Frank Gehry" เจ้าของรางวัลพริตซ์เกอร์ หรือโนเบลทางสถาปัตยกรรม
ครั้งแรกในเมืองไทยที่มีโอกาสพูดคุยอย่างใกล้ชิดกับสถาปนิกชื่อดังระดับโลก "Frank Gehry" เจ้าของรางวัลพริตซ์เกอร์ หรือโนเบลทางสถาปัตยกรรม
พร้อมเผยต้นแบบความคิดสร้างสรรค์ และการปลดแอกข้อจำกัดของการออกแบบ เพื่อประดิษฐ์สิ่งก่อสร้างจรรโลงโลก
ผลงานของสถาปนิกชาวแคนาดา-อเมริกันคนนี้มีหลากหลาย ทั้งอาคารพักอาศัย พิพิธภัณฑ์ สถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่ง แต่ถ้าเอ่ยถึงผลงานที่มีชื่อเสียงมากที่สุด ต้องยกให้ พิพิธภัณฑ์กุกเกนไฮม์ บิลเบา ในเมืองบิลเบา ประเทศสเปน ซึ่งเป็นอาคารที่มีไทเทเนียมเป็นวัสดุหลัก รวมถึงวอลต์ดิสนีย์คอนเสิร์ตฮอลล์ที่ลอสแอนเจลิส และแดนซิงเฮาส์ที่กรุงปราก สาธารณรัฐเช็ก รวมถึงเจ้าของรางวัลพริตซ์เกอร์ (Pritzker Prize) ในปี 2532 ซึ่งรางวัลนี้มอบเป็นเกียรติแก่ สถาปนิกผู้สร้างงานสถาปัตยกรรมดีเด่นที่มีคุณภาพในระดับสากล รวมทั้งสร้างนวัตกรรมที่ดีและมีคุณภาพ เสริมสร้างและบูรณาการการใช้เทคโนโลยีที่ดีในการก่อสร้าง
ในขณะที่สถาปัตยกรรมเมืองไทยกำลังเฟื่องฟูและไอเดียบรรเจิด มูลนิธิไทยคมจึงคว้าตัวสถาปนิกคนดัง มาจุดประกายความ "ฟุ้ง" ให้กับนักออกแบบไทยแบบไม่ "กั๊ก"
จิตวิญญาณบริสุทธิ์
แฟรงก์ เล่าว่าเขาเติบโตมาในครอบครัวที่ยากจน จึงเรียนรู้ชีวิตอย่างยากลำบาก นั่นทำให้เขาเข้าใจในวิถีชีวิตและความกดดันจะสร้างสิ่งใหม่ให้โลก ขณะเดียวกันก็ทำให้เขาชอบตั้งคำถามให้กับสิ่งที่เห็นอยู่ตลอดเวลา แล้วก็ใฝ่รู้ หาอะไรใหม่ๆ มาตอบคำถามที่ตนเองสงสัย เขายังเพลิดเพลินกับการอ่านหนังสือ "ดอนกิโฆเต้ แห่งลามันช่า" เล่าเรื่องขุนนางต่ำศักดิ์นักฝัน ผู้ตระหนักว่าจงมองชีวิตอย่างที่มันควรจะเป็น และ "อลิซ อิน วันเดอร์แลนด์"
การเล่าชีวประวัติของเขาไม่ใช่เรื่องไร้สาระ เพราะสิ่งเหล่านี้ล้วนหล่อหลอมเขาให้สร้างสรรค์ผลงานที่ "พยายามทำความเข้าใจโลก" และคุ้นชินกับพฤติกรรม "ชอบคิดโครงการใหม่ๆ" เหมือนเด็กๆเบื่อของเล่นชิ้นเก่า
"สิ่งออกแบบสำคัญต่อคน ทั้งหมดคือมนุษย์ ผมชอบการมีปฏิสัมพันธ์ ค้นหา และตั้งคำถาม การเติบโตมากับครอบครัวชาวยิว ได้อ่านคัมภีร์ทาลมุด ซึ่งสอนให้ตั้งคำถามว่า ทำไม แล้วเราก็มีหน้าที่ต้องค้นหาคำตอบนั้นให้ได้"
อีกทั้งเขายังชื่นชอบฟังดนตรีและบทเพลงจากฝั่งอเมริกาตะวันออก และศึกษางานศิลปะในเอเชีย โดยเฉพาะญี่ปุ่น จึงผูกพันกับสุนทรียศาสตร์ในแบบฉบับเอเชีย ชื่นชอบวัสดุไม้ และไอเดียทางโลกตะวันออก รวมทั้งแนวคิดของคนญี่ปุ่น และยังสนุกกับการศึกษาเอเชียชาติอื่นๆด้วย
"ไม่ใช่แค่การสั่งสมตั้งแต่วัยเด็กและศึกษาเรื่อยมาเท่านั้น แต่มันเหมือนจะมีอะไรในตัวเรา เราก็แค่ตามสัญชาตญาณในตัวของเราไป มันจะคอยส่งสัญญาณออกมา แต่ถ้าเมื่อไรรู้ล่วงหน้าว่ามันจะเป็นอะไร ผมก็จะทิ้งมันไปเลย เพราะมันจะไม่บริสุทธิ์แล้ว แต่ผมจะเลือกทำโมเดลไปเรื่อยๆ แล้วไว้วางใจมัน แล้วมันก็จะนำไปสู่ไอเดียสุดท้ายเอง" แฟรงก์ กล่าว
กว่าจะเป็น "แฟรงก์กี้สไตล์"
หนึ่งในผลงานชื่อก้องอย่าง พิพิธภัณฑ์กุกเกนไฮม์ บิลเบา สเปน สะท้อนเอกลักษณ์งานสไตล์ แฟรงก์ เกห์รี นั้น เขาเล่าว่ามันเกิดจากการเห็นสิ่งต่างๆในเมืองใหญ่ๆ ซึ่งดูไม่เข้ากับการใช้ชีวิตของคน เพราะมันไม่ส่งเสริมคุณภาพชีวิต แต่ถึงอย่างนั้นก็คนในชุมชนก็ยอมรับและเลือกให้มีส่วนที่ไม่สวยงามอยู่ จึงจับจุดนี้มาสร้างสรรค์งานใหม่ที่เชื่อมโยง "วิถีชีวิตคน" และ "เทคนิคล้ำยุค" เข้าด้วยกัน
"โชคดีที่มีบิลเบา ที่มาเปลี่ยนอารมณ์และความรู้สึกของคนในเมืองนี้ได้ ถือเป็นปาฏิหาริย์ การทำงานในตอนนั้นผมจะคำนึงถึงวิถีชีวิตเมือง ที่นั่นเป็นอุตสาหกรรมต่อเรือ และเหล็กกล้า จึงต้องใช้เทคโนโลยีท้องถิ่น กับโปรแกรมคอมพิวเตอร์ และพูดคุยกับบริษัทเครื่องบินของฝรั่งเศส เพื่อช่วยให้สร้างภาพที่แม่นยำที่สุด เพื่อให้การก่อสร้างนั้นง่ายที่สุด โดยต้องเคารพบริษัทก่อสร้าง และใช้ข้อมูลที่แม่นยำเพื่อไม่ให้มีปัญหาว่าการออกแบบนั้นสร้างไม่ได้ แล้วเราก็ใช้วัสดุของที่ตรงนั้น แล้วทำงานร่วมกับคนในพื้นที่ จึงสร้างเอกลักษณ์ให้เมืองนี้ได้ในที่สุด"
นอกจากนั้นความโดดเด่นของงานแฟรงก์ เกห์รี ยังอยู่ที่การเลือกใช้วัสดุ ซึ่งสถาปนิกคนอื่นอาจเลือกใช้วัสดุจากศาสตร์เก่าแก่หลายศตวรรษ แต่เขาเลือกใช้วัสดุ " ไทเทเนียม" ให้กับพิพิธภัณฑ์กุกเกนไฮม์ โดยเขาใช้เวลาสังเกตวัสดุชนิดนี้หลายปี ซึ่งโดดเด่นมาก แม้ฝนตกก็ดูดี และในสภาพอากาศดีๆก็จะสะท้อนแสงได้ ซึ่งเหมาะกับสถานที่นั้น แต่ทว่าด้วยต้นทุนที่สูงขึ้น 2 เท่าตัว สถาปนิกคนเก่งจึงสรรหาวิธีทำให้มีขนาดบางลงกว่าครึ่ง ต้นทุนก็จะลดลงตามไปด้วย
"เราต้องการสร้างอาคารที่สื่อสารแสดงออกได้ หากเมื่อใดที่ฟ้าหม่น ภาพของอาคารไททาเนี่ยมแห่งนี้ก็จะช่วยเปิดใจให้เบิกบาน มันเป็นความตั้งใจของผมตั้งแต่ตอนที่คิดถึงวัสดุตัวนี้แล้ว เราต้องยึดว่าเราสร้างอาคารให้ผู้คน ทำให้เขาอยู่สบายและดีกว่าปัจจุบัน ดังนั้นสิ่งที่ไม่น่าสนใจทำเลยในความคิดผม คือ งานชิ้นนั้นไม่สอดคล้องกับบริบทรอบข้าง และไม่สนใจว่าทำงานนั้นไปเพื่อใคร"
แฟรงก์ กล่าวทิ้งท้ายว่า และเมื่อเราสร้างงานขึ้นมาแล้ว เราต้องยอมรับในอัตลักษณ์ของตัวเอง แล้วเดินตามลายเซ็นต์ (Signature) นั้นไป ขณะเดียวกันก็ยอมรับในความขึ้น-ลงของตัวเอง ไม่เดินตามคนอื่น แล้วเราก็จะเป็นผู้เชี่ยวชาญ และไม่จำเป็นต้องสนใจว่าใครจะมองอย่างไรเพราะเขาไม่เข้าใจอยู่ดี แต่ถึงเวลาที่เราควรเปลี่ยน เราก็ต้องปรับแนวทาง ให้เรียบง่าย เพื่อให้เข้ากับคนในยุคนั้น







