"ข้าว"บนโต๊ะเครื่องแป้ง

"ข้าว"บนโต๊ะเครื่องแป้ง

"ไรซ์แคร์"นวัตกรรมจากแป้งข้าวเจ้าที่สร้างความต่างและเป็นทางเลือกใหม่ในตลาดแป้งเด็ก

บุษกร ภู่แส รายงาน

ในยุคที่การแข่งขันรุนแรง การเริ่มต้นธุรกิจใหม่ย่อมเป็นเรื่องยากดังนั้น การต่อยอดธุรกิจใหม่ที่ช่วยเกื้อหนุนกับธุรกิจหลักให้มีความมั่นคงมากขึ้น ถือเป็น แนวทางที่น่าสนใจไม่น้อยเทคนิคในการต่อยอดธุรกิจที่ดีคือการค้นหาเข้าใจความต้องการของลูกค้า เทรนด์ตลาดที่เปลี่ยนไป ยกตัวอย่าง แป้งทาตัวไรซ์แคร์ (ReisCare) สัญชาติไทย (ภาษาเยอรมัน "Reis"แปลว่า ข้าว ) ที่ต่อยอดธุรกิจมาจาก แป้งข้าวเจ้า ซึ่งส่วนมากใช้ทำขนมหวาน ขนมจีน ก๋วยเตี๋ยว

โดยสร้างความแตกต่าง และสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ไม่เหมือนใคร ออกมาเป็นทางเลือกใหม่ให้กับผู้บริโภค ในรูปของแป้งทาตัวจากข้าว นวัตกรรมต่อยอด จากข้าวเจ้า ที่ได้รับการสนับสนุนการพัฒนาสู่พาณิชย์จากสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (สนช.)โดยนำข้าวที่ไม่ผ่านการตัดต่อพันธุกรรม มาผ่านกระบวน การผลิตและฆ่าเชื้อด้วยกรรมวิธีที่ทันสมัย จนกลายเป็น สินค้านวัตกรรม ที่จะสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับข้าวไทย

อัตลักษณ์เฉพาะตัว

แป้งทาตัวสำหรับเด็กจากแป้งข้าวเจ้า จึงกลายเป็น “โอกาส” ให้กับเจ้าของธุรกิจ เพราะความต้องการของผู้บริโภค ทุกวันนี้ ไม่ใช่ว่า ผู้ผลิตหรือเจ้าของ สินค้าจะสามารถยัดเยียดนำเสนอขายสินค้าในแพทเทิร์นเดียวกันเหมือนในยุค mass production ได้ แต่ผู้บริโภคยุคใหม่เป็นพวกที่ต้องสร้าง “อัตลักษณ์” ในแบบเฉพาะตนเองที่ไม่เหมือนใครออกมานำเสนอ พร้อมกับคุณค่าที่ผู้บริโภคจะได้รับด้วยการสื่อสารไปยังผู้บริโภคที่กำลังมองหาแป้งที่ผลิตจากวัตถุดิบ จากธรรมชาติ และไม่มีสารทัลคัม (Talcum) ที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพของผู้ใช้ เพราะเมื่อสูดดมเข้าไปเป็นระยะเวลานาน อาจมีผลทำให้เกิดโรคภูมิ แพ้ ต่อเด็ก

วาทิน วงศ์สุรไกร กรรมการบริหารบริษัท เนอเชอร์แคร์ จำกัด กล่าวว่า แนวทางการทำตลาดพยายามกระตุ้นให้เกิดความตื่นตัวโดยเฉพาะกลุ่มคุณแม่คนไทย ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายหลัก ให้ทราบถึง อันตรายที่เกิดกับผู้ใช้แป้งที่มีส่วนผสมสารทัลคัม ควบคู่ กับการขยายฐานลูกค้ากลุ่มวัยรุ่นผู้หญิง ที่มีปัญหาความมันบนใบหน้า เนื้องจากข้าวเจ้ามีคุณสมบัติของเนื้อแป้งขาวเนียน ช่วยป้องกันความเปียกชื้น ควบคุมได้เป็นอย่างดี

“แทนที่จะมุ่งไปเจาะกลุ่มวัยรุ่น หรือผู้หญิงทำงานในรูปแบบของแป้งพัฟ ที่การแข่งขันรุนแรง และพฤติกรรมของลูกค้าในกลุ่มนี้ให้ความ สำคัญกับเรื่องความสวยงามมากกว่าความปลอดภัย เราหันมาให้ความสำคัญกับกลุ่มเด็กเป็นอันดับแรก”

ส่วนแผนการตลาด เน้นการให้ความรู้เกี่ยวกับข้อดีของผลิตภัณฑ์และการสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จัก อย่างค่อยเป็นค่อยไป ผ่านการทดลองใช้ สินค้าตัวอย่างเพื่อให้มีโอกาสได้สัมผัสสินค้าและกลับมาซื้อซ้ำ รวมถึงการบอกต่อปากต่อปากในกลุ่มผู้ใช้โดยตรง ช่องทางหลักในการแนะนำคือ โรงพยาบาล ในรูปแบบของการจัดเวิร์คช็อปคุณแม่มือใหม่

ต่อยอดเพิ่มมูลค่า

วาทิน ย้ำว่า จากจุดเด่นของแป้งข้าวเจ้า ที่มีเนื้อแป้งที่เนียนละเอียด ดูดซับความมันได้ดี อนาคต สามารถพัฒนาสูตรสามารถต่อยอดไปทำแป้งเย็น แป้ง สำหรับแผลกดทับ แป้งพัฟ ครีมบำรุงผิว ครีมกันแดด ซึ่งเป็นเป้าหมายต่อไปของบริษัทเพื่อขยายฐานลูกค้าให้กว้างขึ้น นอกจากนี้เตรียมการลงทุนกับระบบและเครื่องจักรภายในโรงงานเพื่อรองรับออร์เดอร์ของผู้สนใจสั่งซื้อวัตถุดิบจากแป้งข้าวเจ้าไปผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ ในตลาดด้วย รวมถึงการรับทำแป้งทาตัวในรูปแบบของ การรับจ้างผลิตสินค้าให้กับแบรนด์ต่างๆตามแบบที่ลูกค้ากำหนด(OEM:Origianl Equipment Manufacturer)

“เหตุผลที่เรารับจ้างผลิต เพราะต้องการให้สินค้าในเซกเมนต์นี้ขยายตัวรวดเร็วแทนที่เราทำตลาดคนเดียวสู้ให้ผู้ประกอบการที่มีศักยภาพเข้ามาช่วยกัน ทำตลาด ทำให้ผู้บริโภคคนไทยรับรู้ถึงประโยชน์ที่ได้จากวัตถุดิบจากแป้งข้าวเจ้า เมื่อถึงเวลานั้นสินค้าที่มีส่วนผสมแป้งข้าวเจ้าก็จะกลายเป็นสินค้าที่นิยม และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับแบรนด์ เช่น แป้งทาตัวไรซ์แคร์ ขนาด 50 กรัมราคา 30 บาท สูงกว่า แป้งเด็กทั่วไป 3 เท่าที่ขายกระป๋องละ 10-12 บาท”

วาทิน มองว่า หนึ่งในตลาดที่มีศักยภาพคือตลาดแป้งมีมูลค่า 4,000 ล้านบาท ซึ่งในแต่ละปีโตไม่เกิน 5% แบ่งเป็นตลาดแป้งเด็ก 2,000 ล้านบาท ตลาด แป้งเย็นกว่า 1,000 ล้านบาท ตลาดแป้งหอม 500-600 ล้านบาท นั้น อีก 2-3ปีต่อจากนี้แป้งที่ผลิตจากข้าวเจ้าจะกลายเป็นเซกเมนต์ใหม่ที่มีอัตราการเติบ โตอย่างรวดเร็ว เนื่องจากสามารถตอบโจทย์กลุ่มคนที่ใส่ใจเรื่องสุขภาพได้ไม่แพ้กับแป้งที่ผลิตจากข้าวโพด

“ลักษณะที่โดดเด่นก็คือมีสีขาวเนียนและโมเลกุลละเอียดกว่าข้าวโพด 2 เท่า และควบคุมความมันได้ดี จึงเหมาะกับสภาพอากาศในเมืองไทย “

ภาพเคลื่อนไหว http://youtu.be/8sBtZLu3xp8