จีนปั้นบัณฑิต STEM หลายล้านคนต่อปี สหรัฐพึ่งนักวิจัยจีน 38% ชิงหวาผู้นำสิทธิบัตรเอไอ

จีนผลิตบัณฑิตสาขาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์ (STEM) ได้มากกว่าสหรัฐ เกือบ 4 เท่า มีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 5 ล้านคนต่อปี
KEY
POINTS
- จีนผลิตบัณฑิตสาขาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์ (STEM) ได้มากกว่าสหรัฐ เกือบ 4 เท่า มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 5 ล้านคนต่อปี
- มหาวิทยาลัยชิงหวาของจีนเป็นผู้นำระดับโลกด้านการวิจัยเอไอ มีจำนวนสิทธิบัตรและงานวิจัยที่ได้รับการอ้างอิงสูงแซงหน้ามหาวิทยาลัยชั้นนำของสหรัฐรวมกัน
- ภาคอุตสาหกรรมเอไอของสหรัฐพึ่งพานักวิจัยชาวจีนเกือบหนึ่งในสามของนักวิทยาศาสตร์เอไอชั้นนำของโลกเป็นชาวจีน (38%) ส่วนใหญ่เลือกทำงานในสหรัฐ
เมื่อต้นเดือนพฤศจิกายน เจนเซน หวง (Jensen Huang) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของอินวิเดีย ได้ส่งสัญญาณเตือนว่า “จีนกำลังไล่ทันสหรัฐในศึกแย่งชิงความเป็นผู้นำด้านปัญญาประดิษฐ์”
การแข่งขันไม่ได้จำกัดอยู่แต่ในแวดวงธุรกิจเทคโนโลยีที่ซิลิคอนวัลเลย์ หรือศูนย์กลางนวัตกรรมในเซินเจิ้นเท่านั้น หากแต่กำลังเกิดขึ้นใน “รั้วมหาวิทยาลัย” ซึ่งเป็นแหล่งผลิตกำลังสมองและนวัตกรรมหลักของทั้งสองประเทศ
ช่วงหลายปีที่ผ่านมา จีนเร่งสร้างฐานทัพวิจัยด้านเอไอที่มหาวิทยาลัยชิงหวาอย่างจริงจัง จนทำให้สถาบันแห่งนี้กลายเป็นคู่แข่งที่สามารถยืนเคียงบ่าหรือแม้กระทั่งท้าทายกลุ่มมหาวิทยาลัยชั้นนำของสหรัฐอย่าง ไอวีลีก (Ivy League) ซึ่งประกอบด้วยสถาบันการศึกษา 8 แห่งที่มีชื่อเสียงด้านความเป็นเลิศทางวิชาการมายาวนาน
ชิงหวาขึ้นแท่นผู้นำด้านงานวิจัยเอไอระดับโลก
ตัวเลขจากฐานข้อมูล LexisNexis ที่บลูมเบิร์กวิเคราะห์ ระบุว่า มหาวิทยาลัยชิงหวาสามารถผลิตงานวิจัยด้านเอไอที่ได้รับการอ้างอิงมากที่สุด 100 ชิ้นของโลก ได้มากกว่าสถาบันการศึกษาใดๆ ทั่วโลก
นอกจากนี้ จำนวนสิทธิบัตรด้านเอไอที่ชิงหวายื่นขอต่อปีนั้นมากกว่าการรวมตัวเลขของมหาวิทยาลัยชั้นนำทั้งหมดของสหรัฐเข้าด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น สถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ (MIT) มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด มหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน และมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด
ตั้งแต่ปี 2548 จนถึงปลายปี 2567 นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยชิงหวาได้ยื่นขอสิทธิบัตรด้านปัญญาประดิษฐ์ และแมชชีนเลิร์นนิ่งรวมทั้งสิ้น 4,986 รายการ โดยในปีล่าสุดเพียงปีเดียวมีการยื่นขอมากกว่า 900 รายการ
แม้ว่าตัวเลขด้านสิทธิบัตรของจีนจะเพิ่มสูงขึ้น แต่สหรัฐยังคงรักษาความได้เปรียบในบางมิติไว้ได้ รายงาน Stanford AI Index ปี 2568 ชี้ให้เห็นว่า สหรัฐสามารถพัฒนาโมเดลปัญญาประดิษฐ์ที่โดดเด่นและมีประสิทธิภาพสูงถึง 40 โมเดล ในขณะที่จีนมี 15 โมเดล
จวิน หลิว (Jun Liu) อดีตอาจารย์มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ซึ่งย้ายมาร่วมชิงหวาในปีนี้เพื่อเริ่มต้นภาควิชาสถิติและวิทยาการข้อมูล กล่าวกับบลูมเบิร์กว่า “รัฐบาล ภาคธุรกิจ และสถาบันการศึกษาให้ความสนใจเอไอและแมชชีนเลิร์นนิ่งอย่างมาก การดึงดูดบุคลากรฝีมือดีเกิดจากเงินทุนและการสนับสนุนอย่างจริงจังของรัฐบาลจีนต่อการวิจัยวิทยาศาสตร์ รวมถึงด้านเอไอ”
จีนปูพื้นฐานเอไอตั้งแต่เด็ก สร้างกำลังคนตั้งแต่ระดับประถม
แผนยุทธศาสตร์เทคโนโลยีของจีนไม่ได้เริ่มต้นที่ระดับอุดมศึกษาเท่านั้น แต่ได้ถูกปูรากฐานตั้งแต่ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน เด็กนักเรียนในกรุงปักกิ่งที่มีอายุไม่เกินสิบขวบได้รับการเรียนการสอนเกี่ยวกับปัญญาประดิษฐ์อย่างน้อยปีละ 8 ชั่วโมงในภาคเรียนฤดูใบไม้ร่วง
หลักสูตรออกแบบอย่างรอบด้าน ครอบคลุมตั้งแต่การใช้งานเครื่องมือแชตบอต และแอปพลิเคชันดิจิทัลต่างๆ ไปจนถึงความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับกลไกการทำงานของปัญญาประดิษฐ์ และยังปลูกฝังความเข้าใจเกี่ยวกับประเด็นด้านจริยธรรมที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีนี้ด้วย
การปลูกพื้นฐานความรู้และทักษะตั้งแต่ระดับประถมศึกษาทำให้จีนสามารถขยายกำลังแรงงานที่มีความรู้ด้านเทคโนโลยีได้อย่างรวดเร็ว และต่อเนื่อง
ข้อมูลจากศูนย์ศึกษายุทธศาสตร์และระหว่างประเทศ เผยว่า ปี 2563 จีนสามารถผลิตบัณฑิตสาขาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์ หรือที่เรียกกันว่า STEM รวมทั้งสิ้น 3.57 ล้านคน ขณะที่สหรัฐผลิตได้ 820,000 คน ซึ่งต่างกันเกือบสี่เท่า
นอกจากนี้ สื่อของรัฐจีนรายงานเพิ่มเติมว่า จำนวนบัณฑิตกลุ่มนี้มีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 5 ล้านคนต่อปีในอนาคต
บริษัทสหรัฐแย่งชิงบุคลากรจีน
ความเคลื่อนไหวเหล่านี้ไม่ได้หลุดพ้นจากสายตาของบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำในสหรัฐ พวกเขาติดตาม และตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงนี้อย่างใกล้ชิด ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนคือ บริษัท เมตา ที่ประกาศจัดตั้ง Superintelligence Lab ขึ้นเพื่อพัฒนาเอไอที่มีความสามารถสูงกว่ามนุษย์
สิ่งที่น่าสังเกตคือ นักวิจัยผู้ก่อตั้งทั้ง 11 คนของแล็บแห่งนี้ล้วนมาจากสถาบันการศึกษานอกสหรัฐทั้งสิ้น และ 7 คนในจำนวนนี้เกิดและเติบโตในประเทศจีน
งานศึกษาของ Paulson Institute ในปี 2563 ระบุว่า นักวิจัยชาวจีนคิดเป็นสัดส่วนเกือบหนึ่งในสามของนักวิทยาศาสตร์เอไอชั้นนำ 100 คนของโลก โดยส่วนใหญ่กำลังทำงานอยู่ในสถาบันวิจัยและบริษัทเทคโนโลยีต่างๆ ของสหรัฐ ไม่ใช่ในประเทศจีนเอง
การศึกษาอีกชิ้นหนึ่งจาก Carnegie Endowment for International Peace พบว่า แม้ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐและจีนมีความตึงเครียดเพิ่มมากขึ้นในหลายมิติ และมีการจำกัดการถ่ายทอดเทคโนโลยีระหว่างกันมากขึ้น แต่นักวิจัยชาวจีนถึง 87% ยังคงเลือกที่จะทำงานอยู่ในสหรัฐเช่นเดิม ไม่ได้เลือกที่จะย้ายกลับประเทศบ้านเกิด
แมตต์ ชีแฮน (Matt Sheehan) นักวิเคราะห์ที่มีส่วนร่วมในการทำงานวิจัยทั้งสองชิ้นดังกล่าว ได้ให้สัมภาษณ์กับเดอะนิวยอร์กไทมส์ว่า “ภาคอุตสาหกรรมปัญญาประดิษฐ์ของสหรัฐคือผู้ที่ได้รับประโยชน์สูงสุดจากแรงงานและนักวิจัยชาวจีน”
สถานการณ์นี้ชี้ให้เห็นถึงความท้าทายที่ซับซ้อนของสหรัฐ ที่ต้องสร้างสมดุลระหว่างการรักษาความปลอดภัยทางเทคโนโลยี และการรักษาความสามารถในการแข่งขันที่ต้องพึ่งพาบุคลากรจากประเทศคู่แข่งเอง ขณะที่จีนกำลังพยายามสร้างระบบนิเวศด้านเทคโนโลยีที่เข้มแข็งเพียงพอที่จะดึงดูดนักวิจัยเหล่านี้ให้กลับมาสร้างประโยชน์ให้กับประเทศบ้านเกิด
อ้างอิง: Fortune The New York Times Bloomberg Reuters







