ไม่ใช่จะใช้ AI หรือไม่ แต่จะใช้ยังไงให้ชนะ คำเตือนจาก ดร.วิโรจน์ จิรพัฒนกุล

ดร.วิโรจน์ จิรพัฒนกุล ผู้ก่อตั้งบริษัท สคูลดิโอ จำกัด (Skooldio) เผย องค์กรยุคใหม่ต้องใช้เอไอให้ชนะ ไม่ใช่แค่ใช้ไปเรื่อยๆ แนะ 4 ขั้นของการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคปัญญาประดิษฐ์
KEY
POINTS
- ดร.วิโรจน์ ชี้ว่า คำถามสำคัญในปัจจุบันไม่ใช่การตัดสินใจว่าจะใช้เอไอหรือไม่ แต่คือการวางกลยุทธ์ว่าจะใช้อย่างไรให้เกิดความได้เปรียบทางธุรกิจ
- การนำเอไอมาใช้มี 4 ขั้น ใช้เป็นผู้ช่วย, ทำงานอัตโนมัติ, การยกระดับผลงานให้เทียบเท่าผู้เชี่ยวชาญ ไปจนถึงการเปลี่ยนโมเดลธุรกิจ
- สาเหตุที่โครงการเอไอส่วนใหญ่ล้มเหลว (กว่า 95%) เกิดจากการมองเอไอเป็นเพียงเครื่องมือเสริม แต่ขาดกลยุทธ์ที่ชัดเจน
- เอไอไม่แทนที่คน แต่คนที่สามารถใช้เอไออย่างมีประสิทธิภาพจะเข้ามาแทนที่คนที่ไม่ใช้ในโลกการทำงานยุคใหม่
“วันนี้คำถามสำคัญไม่ใช่ว่าจะใช้เอไอดีไหม แต่คือ จะใช้ยังไงให้ชนะ”
ดร.วิโรจน์ จิรพัฒนกุล ผู้ก่อตั้งบริษัท สคูลดิโอ จำกัด (Skooldio) กล่าวในงานสัมมนา Thailand’s New Prospect ที่จัดโดยเนชั่น กรุ๊ป โดยเขาอธิบายว่า ปัจจุบันเอไอไม่ใช่เรื่องของอนาคตอีกต่อไป แต่เป็นสิ่งที่ทุกองค์กรต้องเรียนรู้และนำมาใช้จริง เพราะใครที่เริ่มก่อน ย่อมมีโอกาสนำหน้าในโลกธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงเร็วอย่างมหาศาล
เขากล่าวว่าในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา เทคโนโลยีอย่าง ChatGPT, Claude, Copilot หรือ Gemini ทำให้การเข้าถึงเอไอกลายเป็นเรื่องง่ายและเป็นที่รู้จักในวงกว้าง แต่ในขณะเดียวกัน หลายองค์กรกลับยังไม่สามารถใช้เอไอให้เกิดผลลัพธ์ทางธุรกิจได้จริง
โดยดร.วิโรจน์ได้อ้างอิงรายงานของสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ (MIT) กว่า 95% ของโครงการเอไอล้มเหลว ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากการมองเอไอเป็นเพียงเครื่องมือเสริม แต่ไม่ได้วางกลยุทธ์ชัดเจนว่าควรใช้เพื่อเปลี่ยนแปลงองค์กรอย่างไร
4 ขั้นตอนของการนำเอไอมาใช้ในองค์กร
ดร.วิโรจน์ได้อธิบายว่า การนำเอไอมาใช้ในองค์กรมีลำดับการเติบโตที่ชัดเจน แบ่งออกเป็น 4 ขั้นตอน โดยแต่ละขั้นต้องมีเป้าหมาย วิธีการ และการปรับตัวของบุคลากรที่ต่างกันออกไป
1. ใช้เอไอเป็นเครื่องมือช่วยงาน เป็นขั้นเริ่มต้นที่หลายองค์กรกำลังอยู่ในตอนนี้ เช่น ให้พนักงานใช้ ChatGPT หรือ Copilot เพื่อช่วยเขียนอีเมล สรุปประชุม หาข้อมูล หรือช่วยคิดไอเดีย ซึ่งช่วยประหยัดเวลาได้มาก แต่ยังไม่ได้สร้างความได้เปรียบทางธุรกิจโดยตรง
“สิ่งสำคัญไม่ใช่แค่ให้ทุกคนใช้เอไอได้ แต่ต้องใช้เป็น เพื่อให้มันกลายเป็นเครื่องมือที่ช่วยยกระดับผลงาน ไม่ใช่เพียงแค่ความสะดวกชั่วคราว”
2. นำเอไอมาช่วยลดภาระงานซ้ำซาก และทำให้ระบบภายในองค์กรไหลลื่นมากขึ้น เช่น การให้เอไออ่านและบันทึกข้อมูลจากใบเสร็จอัตโนมัติ ระบบคัดกรองผู้สมัครงานจากวิดีโอสัมภาษณ์ หรือระบบตอบอีเมลที่จัดลำดับความสำคัญของข้อความได้เอง
การทำให้ระบบอัตโนมัติจะช่วยประหยัดเวลา ลดความผิดพลาด และเปิดโอกาสให้พนักงานใช้เวลาไปกับงานที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์หรือการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์มากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ดร.วิโรจน์เตือนว่า “อย่าทำออโตเมชันแค่เพราะเท่ แต่ต้องเลือกจุดที่เอไอสามารถสร้างผลลัพธ์ได้จริง เช่น งานข้อมูล งานเอกสาร หรือการวิเคราะห์เชิงตัวเลข”
3. เมื่อองค์กรเริ่มคุ้นกับเอไอแล้ว ขั้นต่อไปคือ การใช้เทคโนโลยีนี้เพื่อยกระดับผลงาน ให้ทุกคนทำงานในระดับที่ใกล้เคียงกับผู้เชี่ยวชาญมากขึ้น เช่น การใช้เอไอวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าแบบเชิงลึก เพื่อให้ทีมการตลาดสื่อสารได้ตรงกลุ่มมากขึ้น หรือใช้ระบบแนะนำคอนเทนต์เพื่อเพิ่มการมีส่วนร่วมของผู้ใช้งาน
ตัวอย่างเช่น แกร็บ (Grab) ใช้เอไอวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้า และปรับข้อความส่งเสริมการขายให้เฉพาะบุคคล จนทำให้ยอด engagement เพิ่มขึ้นกว่า 25 - 50%
ดร.วิโรจน์ กล่าวว่า “เอไอไม่ได้มีไว้แค่ทำให้งานเร็วขึ้น แต่ต้องทำให้งานดีขึ้นด้วย เช่น งานออกแบบที่ละเอียดขึ้น หรือการสื่อสารที่แม่นยำขึ้น” เขาเสริมว่า ขั้นนี้องค์กรต้องมีข้อมูลคุณภาพ และระบบจัดเก็บข้อมูลที่ดี เพราะเอไอจะเก่งเท่ากับข้อมูลที่มันได้รับเท่านั้น
4. ขั้นสูงสุดของการใช้เอไอคือ การนำมาเปลี่ยนโมเดลธุรกิจ หรือที่เรียกว่า Business Transformation ซึ่งไม่ได้แค่ปรับปรุงประสิทธิภาพภายใน แต่สร้างรูปแบบธุรกิจใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน ตัวอย่างเช่น ธุรกิจสื่อที่เคยพึ่งพาการผลิตคอนเทนต์ด้วยคนทั้งหมด อาจเปลี่ยนมาใช้เอไอเพื่อผลิตเนื้อหาอัตโนมัติ หรือธุรกิจท่องเที่ยวที่ใช้เอไอสร้างแพ็กเกจทัวร์เฉพาะบุคคลจากข้อมูลพฤติกรรมของลูกค้า
ดร.วิโรจน์ ยกตัวอย่าง ชัตเตอร์สต็อก (Shutterstock) ซึ่งเดิมเป็นคลังภาพออนไลน์ แต่บริษัทปรับตัวด้วยการใช้ Generative AI มาช่วยสร้างภาพตามคำสั่งลูกค้าโดยตรง ทำให้ไม่เพียงรอดจากการเปลี่ยนแปลงของตลาด แต่ยังเพิ่มรายได้ใหม่จากบริการเอไอ
“เอไอทำให้ธุรกิจสามารถแตกต่าง และประหยัดต้นทุนได้ในเวลาเดียวกัน ซึ่งเมื่อก่อนแทบเป็นไปไม่ได้” เขากล่าว
เอไอไม่แทนที่คน แต่คนที่ใช้เอไอเป็นจะแทนที่คนที่ไม่ใช้
ในช่วงท้ายของการสัมมนา ดร.วิโรจน์ สรุปว่า การเปลี่ยนผ่านสู่ยุคเอไอไม่ได้หมายถึงการแทนที่มนุษย์ แต่หมายถึงการทำงานร่วมกันระหว่างคนกับเครื่องมืออย่างมีประสิทธิภาพ
“เอไอคือเครื่องมือใหม่ของความคิดสร้างสรรค์ มันจะไม่มาแทนคน แต่คนที่ใช้เอไอเป็น จะมาแทนคนที่ไม่ใช้”
เขาทิ้งท้ายว่า การนำเอไอมาใช้ให้สำเร็จ ต้องเริ่มจากความเข้าใจก่อนการลงทุน โดยองค์กรที่เริ่มเรียนรู้ก่อน ย่อมมีโอกาสสร้างความได้เปรียบก่อน เพราะในโลกที่เทคโนโลยีเปลี่ยนทุกวัน คนที่ชนะไม่ใช่คนที่เก่งที่สุด แต่คือคนที่ “ปรับตัวได้เร็วที่สุด”







