ลูลู่ เทคฯ ชี้ยุค Big Data ใกล้สิ้นสุด แนะ SME ไทยขยับสู่ Small Data เพื่อรอดในโลกเอไอ

ปริชญ์ รังสิมานนท์ ผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท ลูลู่ เทคโนโลยี จำกัด ชี้ว่ายุค Big Data ที่เน้นการเก็บข้อมูลปริมาณมหาศาลกำลังจะสิ้นสุดลง เนื่องจากองค์กรส่วนใหญ่ไม่สามารถนำข้อมูลมาใช้ประโยชน์ได้จริงและยังสร้างต้นทุนแฝง แนะให้ธุรกิจ SME ไทยปรับตัวสู่แนวทาง Small Data
KEY
POINTS
- ลูลู่ เทคโนโลยี ชี้ว่ายุค Big Data ที่เน้นการเก็บข้อมูลปริมาณมหาศาลกำลังจะสิ้นสุดลง เนื่องจากองค์กรส่วนใหญ่ไม่สามารถนำข้อมูลมาใช้ประโยชน์ได้จริงและยังสร้างต้นทุนแฝง
- แนะให้ธุรกิจ SME ไทยปรับตัวสู่แนวทาง Small Data โดยเน้นเก็บและวิเคราะห์เฉพาะข้อมูลที่จำเป็นและมีคุณภาพสูง ซึ่งเพียงพอต่อการนำไปใช้กับเอไอเพื่อสร้างความได้เปรียบ
- ชี้ว่า เอไอไม่ได้ต้องการข้อมูลจำนวนมากเสมอไป แต่ต้องการข้อมูลที่เกี่ยวข้องและมีคุณภาพ ซึ่ง SME สามารถใช้ความคล่องตัวปรับใช้ข้อมูลเพื่อเอาชนะบริษัทใหญ่ได้
- การนำเอไอมาใช้ให้เกิดประโยชน์ ควรเริ่มต้นจากคำถามทางธุรกิจ เพื่อหาว่าต้องใช้ข้อมูลอะไรมาตอบโจทย์ ไม่ใช่การลงทุนในเทคโนโลยีก่อน
ปริชญ์ รังสิมานนท์ ผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท ลูลู่ เทคโนโลยี จำกัด กล่าวในงานสัมมนา Thailand’s New Prospect ที่จัดโดยเนชั่น กรุ๊ป ว่า ประเทศไทยกำลังอยู่ในจุดหัวเลี้ยวหัวต่อของการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคเศรษฐกิจขับเคลื่อนด้วยข้อมูลและเอไอ แต่ยังมีช่องว่างใหญ่ระหว่างความเข้าใจกับการลงมือทำจริง
“การใช้เอไอในประเทศไทยอยู่ระดับเริ่มต้น มีองค์กรประมาณ 18% ที่นำเอไอหรือระบบอัตโนมัติมาใช้ในธุรกิจอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งส่วนใหญ่เป็นองค์กรขนาดใหญ่ เช่น ธนาคาร บริษัทโทรคมนาคม หรืออุตสาหกรรมพลังงาน ขณะที่กลุ่มธุรกิจขนาดกลาง และขนาดเล็กยังมีสัดส่วนการใช้น้อยมาก” ปริชญ์ กล่าว
เขาเปรียบเทียบว่า ประเทศเพื่อนบ้าน เช่น สิงคโปร์และมาเลเซีย ซึ่งภาครัฐสนับสนุนอย่างจริงจังผ่านโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล และการให้ทุนสนับสนุนการพัฒนาเอไอ ไทยยังขาดความพร้อมในเชิงนโยบายและโครงสร้างพื้นฐานด้านข้อมูล
“เราพูดถึงเอไอมาหลายปี แต่ในเชิงปฏิบัติยังไม่เกิดขึ้นจริงในระดับมวลรวม ส่วนหนึ่งเพราะองค์กรจำนวนมากยังไม่เข้าใจว่าข้อมูลที่ตัวเองมีอยู่มีคุณค่ามากขนาดไหน หรือจะนำมาวิเคราะห์เพื่อสร้างรายได้ใหม่ได้อย่างไร”
ยุค Big Data กำลังจบลง องค์กรทั่วโลกเก็บข้อมูลเกินจำเป็น
ปริชญ์อธิบายว่า แนวคิด Big Data ที่เคยเป็นกระแสหลักในช่วง 5-10 ปีก่อน กำลังเข้าสู่ช่วงปลายทาง เพราะองค์กรจำนวนมากเก็บข้อมูลมหาศาลแต่ไม่สามารถนำมาใช้ได้จริง โดยอ้างอิงรายงานจาก Cisco ที่ระบุว่า ข้อมูลกว่า 90% ที่องค์กรเก็บไว้ทั่วโลกไม่เคยถูกเปิดใช้งาน
“การเก็บ Big Data จำนวนมากไม่ได้แปลว่าองค์กรจะฉลาดขึ้น แต่แปลว่าคุณกำลังแบกรับต้นทุนที่มองไม่เห็น ทั้งค่าจัดเก็บ ค่ารักษาความปลอดภัย และความเสี่ยงด้าน PDPA ที่สูงขึ้น” เขากล่าว พร้อมเสริมว่า ปัญหาที่พบมากคือ องค์กรไทยมักเก็บข้อมูลแยกส่วน แต่ละแผนกเก็บข้อมูลของตนเองโดยไม่เชื่อมโยงกัน ทำให้ข้อมูลไม่สามารถนำมาวิเคราะห์ภาพรวมได้จริง
เข้าสู่ยุค Small Data ใช้น้อยแต่มีคุณภาพ
ปริชญ์เสนอแนวทางใหม่ว่า โลกกำลังเคลื่อนสู่ยุคของ Small Data ซึ่งเน้นการเก็บและใช้ข้อมูลเฉพาะส่วนที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับธุรกิจและลูกค้า เพื่อให้เกิดการวิเคราะห์ที่แม่นยำและนำไปสู่การตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ได้รวดเร็ว
“เอไอไม่ต้องการข้อมูลจำนวนมากเสมอไป แต่ต้องการข้อมูลที่ดี และเกี่ยวข้อง เช่น พฤติกรรมการซื้อของลูกค้า ประเภทสินค้าที่นิยม หรือช่วงเวลาที่มีการเข้าชมเว็บไซต์มากที่สุด สิ่งเหล่านี้เพียงพอสำหรับการเทรนโมเดลเพื่อทำ personalization ได้แล้ว” เขากล่าว
ตัวอย่างที่เขายกขึ้นคือ ร้านเสริมสวยขนาดเล็กที่ใช้ระบบตอบกลับอัตโนมัติแจ้งเตือนนัดหมายลูกค้าผ่านไลน์ ทำให้ลดอัตราการโนโชว์ (ลูกค้าไม่มาในวันที่จอง) ได้ถึง 25% โดยไม่ต้องใช้เอไอที่ซับซ้อนหรือมีค่าใช้จ่ายสูง
สิ่งที่ประเทศไทยยังขาดไม่ใช่เทคโนโลยี แต่คือ ความเข้าใจในการใช้ข้อมูล ปริชญ์อธิบายว่า หลายองค์กรยังไม่รู้ว่าควรเก็บข้อมูลอะไร และควรใช้มันอย่างไรให้เกิดผลลัพธ์เชิงธุรกิจ
“หลายคนเข้าใจว่าเอไอต้องเริ่มจากเทคโนโลยี แต่จริงๆ แล้วต้องเริ่มจากคำถามทางธุรกิจ เช่น คุณอยากลดต้นทุนตรงไหน อยากขายได้มากขึ้นกับลูกค้ากลุ่มใด แล้วค่อยย้อนกลับมาหาว่าข้อมูลแบบไหนที่ตอบโจทย์คำถามนั้นได้” เขาอธิบาย
ปริชญ์แนะนำให้องค์กรไทยทุกระดับเริ่มจากการอบรมพนักงานให้เข้าใจพื้นฐานการจัดการข้อมูล เช่น วิธีการเก็บข้อมูลลูกค้าอย่างถูกต้องตาม PDPA การทำความสะอาดข้อมูล และการใช้เครื่องมือวิเคราะห์ขั้นพื้นฐาน เช่น Google Analytics หรือ ChatGPT for Business ก่อนจะขยับไปใช้เอไอที่ซับซ้อนขึ้น
มองกลับมาที่เอสเอ็มอีไทย
แม้จะมีข้อจำกัดเรื่องงบประมาณและบุคลากร ปริชญ์มองว่าเอสเอ็มอีไทยมีจุดแข็งเรื่องความเร็วในการปรับตัว ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบในยุคเอไอที่ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว
“ในอดีต ปลาตัวใหญ่กินปลาตัวเล็ก แต่ยุคนี้ปลาตัวไวจะกินปลาตัวช้า เอสเอ็มอีที่กล้าทดลองและใช้ข้อมูลจริงตัดสินใจไว จะสามารถชนะบริษัทใหญ่ได้สบาย” เขากล่าว พร้อมแนะนำให้เอสเอ็มอีเริ่มใช้เครื่องมือเอไอฟรีหรือราคาต่ำ เช่น ระบบแชตบอต ระบบจัดการลูกค้าผ่าน LINE OA, หรือเครื่องมือสร้างคอนเทนต์อัตโนมัติ
ปริชญ์ทิ้งท้ายว่า ปี 2569 จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของธุรกิจไทย เพราะองค์กรต่างๆ จะเริ่มตระหนักถึงความสำคัญของคุณภาพข้อมูลมากกว่าปริมาณ และจะเห็นการเปลี่ยนผ่านจากการลงทุนในระบบ Big Data มาสู่การลงทุนในระบบเอไอที่ทำงานบน Small Data
“Big Data คือการเก็บทุกอย่างโดยไม่รู้ว่าจะเอาไปทำอะไร ส่วน Small Data คือการเลือกเก็บเฉพาะสิ่งที่สร้างคุณค่าได้จริง นี่คือแนวทางที่เอสเอ็มอีไทยต้องเข้าใจและลงมือทำก่อนที่จะสายเกินไป” เขากล่าวทิ้งท้าย







