คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2614/2568 คดีสแกมเมอร์ หลอกลวงทางโทรศัพท์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2614/2568 คดีสแกมเมอร์ หลอกลวงทางโทรศัพท์

ปัญหาการหลอกลวงทางโทรศัพท์ หรือที่เรียกกันเป็นภาษาฝรั่งว่า “สแกมเมอร์” (Scammer) เป็นปัญหาที่ยืดเยื้อและสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนอย่างมาก ล่าสุดได้มีคำพิพากษาซึ่งนับเป็นคดีแรกที่ขึ้นไปสู่ศาลฎีกา 

ในคดีนี้ โจทก์ได้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามในความผิดหลายฐาน ได้แก่

(1) ฐานร่วมกันกระทำการเป็นอั้งยี่

(2) ฐานร่วมกันเป็นซ่องโจร

(3) ฐานร่วมกันมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ

(4) ฐานร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยแสดงตนเป็นคนอื่น

(5) ฐานร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่ปลอมหรือเป็นเท็จ พร้อมทั้งให้ร่วมกันคืนเงินจำนวน 2,503,757.15 บาท แก่ผู้เสียหาย

สิ่งที่น่าสังเกตในการดำเนินคดีนี้คือ จำเลยทั้งสามให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา แต่แม้จะรับสารภาพในข้อเท็จจริง แต่การต่อสู้คดีของฝ่ายจำเลยในทางกฎหมายจึงมุ่งเน้นไปที่การลดหย่อนโทษ โดยเฉพาะการตีความจำนวน "กรรม" ของความผิด เพื่อที่จะให้ศาลลงโทษในอัตราที่เบาที่สุด 

พูดให้เข้าใจง่าย ๆ ก็คือ ความผิด (1) ฐานร่วมกันกระทำการเป็นอั้งยี่ (2) ฐานร่วมกันเป็นซ่องโจร และ (3) ฐานร่วมกันมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ เป็นความผิดต่างกรรมต่างวาระกันกับความผิด (4) ฐานฉ้อโกงประชาชนและ (5) ฐานความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ หรือเป็นกรรมเดียววาระเดียวกันทั้งหมด 5 ฐานความผิด?

 

ในคดีนี้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์เห็นต่างกัน มีผลทำให้จำเลยจะต้องได้รับโทษต่างกันคือ 8 ปีกับ 4 ปี แล้วแต่ว่าจะถือแบบไหน

ผู้พิพากษาศาลฎีกาทั้งหมดจึงได้มาประชุมร่วมกันและมีมติเป็นคำวินิจฉัยของศาลฎีกาว่า 

1. ความผิดฐานสมคบและองค์กรอาชญากรรมสำเร็จทันทีที่วางแผน : จำเลยทั้งสามกระทำความผิด (1) ฐานร่วมกันกระทำการเป็นอั้งยี่ (2) ฐานร่วมกันเป็นซ่องโจร

และ (3) ฐานร่วมกันมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ (รวมเรียกว่าความผิดกลุ่มที่ 1) ย่อมเป็นความผิดสำเร็จแล้วตั้งแต่มีการสมคบวางแผนเพื่อกระทำการอันเป็นความผิด แม้ยังมิได้มีการกระทำการตามที่สมคบกันก็ตาม ดังนั้น นี่จึงเป็นการกระทำความผิดกรรมหนึ่ง

2. ความผิดฐานฉ้อโกงและคอมพิวเตอร์เป็นกรรมที่แยกจากความผิดกลุ่มที่ 1: ความผิด (4) ฐานร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยแสดงตนเป็นคนอื่น และ (5) ฐานร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่ปลอมหรือเป็นเท็จ (รวมเรียกว่าความผิดกลุ่มที่ 2)

เป็นการกระทำความผิดที่เกิดขึ้นในภายหลัง ที่ความผิดฐานสมคบได้สำเร็จไปแล้ว หรืออีกนัยหนึ่งเป็นความผิดอีกกรรมหนึ่งต่างหากจากความผิดกลุ่มที่ 1

3. ไม่มีความต่อเนื่องเชื่อมโยง: การกระทำในความผิดกลุ่มที่ 2 มิได้กระทำต่อเนื่องเชื่อมโยงในคราวเดียวกันกับความผิดกลุ่มที่ 1

4. เจตนาและการกระทำแยกออกจากกันได้: ความผิดกลุ่มที่ 2 เป็นความผิดที่สามารถแยกเจตนาและการกระทำต่างจากการกระทำความผิดกลุ่มที่ 1 ได้อย่างชัดเจน

ด้วยเหตุนี้ ศาลฎีกาจึงวินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยทั้งสามในความผิดกลุ่มที่ 2 เป็นการกระทำความผิดอีกกรรมหนึ่ง

กล่าวโดยสรุปผลคำพิพากษาศาลฎีกาใช้หลักการแบ่งเป็นสองกรรมคือ

1. กรรมที่หนึ่งสำหรับการกระทำความผิดกลุ่มที่ 1: ลงโทษจำคุกคนละ 4 ปี

2. กรรมที่สองสำหรับการกระทำความผิดกลุ่มที่ 2 : ลงโทษจำคุกคนละ 4 ปี

เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้วเป็นจำคุกคนละ 8 ปี ก่อนลดโทษให้คนละกระทงละกึ่งหนึ่งเนื่องจากจำเลยให้การรับสารภาพ จึงคงจำคุกจำเลยทั้งสามคนละ 4 ปี (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2614/2568

แม้ตอนนี้ผลทางกฎหมายจะกระจ่างชัดแล้วก็ตาม แต่ถ้าคนที่มีหน้าที่รักษากฎหมายไม่เอาจริง สแกมเมอร์ก็คงจะอยู่สร้างความเดือดร้อนให้ประชาชนต่อไป.