ดีอีเดินหน้าร่าง พ.ร.ก.ไซเบอร์ฉบับใหม่ เพิ่มอำนาจคุมสแกม-คุ้มครองเจ้าหน้าที่

"ไชยชนก" เผยอยู่ระหว่างจัดทำร่าง พ.ร.ก.ปราบอาชญากรรมเทคโนโลยีฉบับใหม่ ยกระดับจากกฎหมายปี 2568 เพิ่มเครื่องมือเชิงรุกให้หน่วยงานรัฐ รับมือภัยไซเบอร์ข้ามพรมแดน พร้อมคุมเข้มสัญญาณชายแดน–ซิมการ์ดผี ดึงผู้ให้บริการมือถือและสถาบันการเงินร่วมรับผิดป้องกันประชาชนจากมิจฉาชีพออนไลน์
KEY
POINTS
- กระทรวงดีอีกำลังยกร่าง พ.ร.ก.ฉบับใหม่ เพื่อเพิ่มอำนาจให้หน่วยงานสามารถทำงานเชิงรุกในการปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี
- กฎหมายใหม่จะเพิ่มความรับผิดชอบของผู้ให้บริการโทรศัพท์ สถาบันการเงิน และธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล หากเกิดความเสียหายต่อประชาชนจากมิจฉาชีพ
- ร่าง พ.ร.ก. ฉบับใหม่จะสร้างระบบคุ้มครองความเสี่ยงทางกฎหมายให้แก่เจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติภารกิจปราบปรามอาชญากรรมข้ามพรมแดน
- เตรียมออกมาตรการคุมเข้ม จำกัดให้บุคคลทั่วไปถือครองซิมมือถือได้ไม่เกิน 5 หมายเลข และจำกัดการเปิดบัญชีธนาคาร
- มีการจัดตั้ง "War Room" โดยดึงเจ้าหน้าที่จาก กสทช. และธปท.มาร่วมบูรณาการข้อมูลเพื่อปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์แบบเรียลไทม์
วันนี้ (24 ต.ค. 2568) นายไชยชนก ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เปิดเผยว่า กระทรวงดีอีอยู่ระหว่างจัดทำร่างพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) ฉบับใหม่ เพื่อปรับปรุงและยกระดับจาก พ.ร.ก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ฉบับที่ 2 พ.ศ. 2568
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมจากฉบับปี 2566 โดยมีสาระสำคัญคือการเพิ่มความรับผิดชอบของผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ ผู้ให้บริการเครือข่าย สถาบันการเงิน และผู้ประกอบ ธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล หากเกิดความเสียหายต่อประชาชนจากการกระทำของมิจฉาชีพทางเทคโนโลยี
นายไชยชนก กล่าวว่า ร่าง พ.ร.ก.ฉบับใหม่นี้อยู่ในขั้นตอนการพัฒนา เพื่อให้หน่วยงานที่อยู่ภายใต้กฎหมายดังกล่าวมีเครื่องมือและอำนาจในการดำเนินงานเชิงรุกมากขึ้น โดยจะมีระบบคุ้มครองเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานในภารกิจข้ามพรมแดนจากความเสี่ยงทางกฎหมาย พร้อมปรับกลไกตอบโต้ภัยไซเบอร์ให้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพกว่าเดิม
สำหรับมาตรการเร่งด่วน นายไชยชนกระบุว่า ปัญหาการหลอกลวงออนไลน์ยังคงรุนแรง โดยเฉพาะบริเวณชายแดน แม้สำนักงาน กสทช. จะจัดการสัญญาณอินเทอร์เน็ตใหม่ตั้งแต่เดือนมิถุนายนที่ผ่านมา แต่ยังพบกรณีสัญญาณทะลุข้ามแดน ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบและสุ่มทดสอบกับผู้ให้บริการมือถือ (โอเปอร์เรเตอร์)
พื้นที่ที่สั่งให้ตัดสัญญาณอินเทอร์เน็ตส่วนใหญ่เป็นฝั่งกัมพูชา แต่ในระยะต่อไปจะต้องร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านอื่น เช่น สปป.ลาว และเมียนมา เพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น
ทั้งนี้ ตนได้สั่งการให้มีเพิ่มการดำเนินการเชิงรุกมากยิ่งขึ้น โดยขอความร่วมมือจากสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จัดให้มีเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการใน “War Room” ศูนย์บริหารเหตุการณ์ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ และค้ามนุษย์นานาชาติ (ศกต.) หรือ IAC เพื่อร่วมบูรณาการข้อมูล ในการป้องกันและปราบปรามแบบ Real Time อย่างทันท่วงที
พร้อมกันนี้ได้มอบหมายให้ กสทช. พิจารณาแนวทางการควบคุมการใช้ซิมโทรศัพท์มือถือ โดยกำหนดหลักเกณฑ์ว่าบุคคลทั่วไปสามารถถือครองซิมของผู้ให้บริการเครือข่าย (โอเปอเรเตอร์) ทั้งหมดได้จำนวนไม่เกิน 5 หมายเลข/คน และบทลงโทษโอเปอเรเตอร์หากมีการละเว้นไม่ปฏิบัติ
นอกจากนี้ ยังมอบหมายให้ธปท.กำหนดมาตรการเชิงรุกการป้องกันและปราบปรามบัญชีม้า โดยป้องกันการกระทำความผิดซ้ำ เช่น การกำหนดจำนวนบัญชีในรายบุคคล โดยอาจมีการพิจารณาให้เปิดบัญชีตามเหตุผลและเงื่อนไขความจำเป็น โดยพิจารณากำหนดแนวทางให้บุคคลที่เกี่ยวข้องกับบัญชีม้า สามารถมีบัญชีเพื่อการยังชีพได้เพียง 1 บัญชี และหากกระทำความผิดซ้ำ ให้มีการยกเลิกบัญชีธนาคารของบุคคลนั้นทันที







