ลงทุนไทย – ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก Cohesity เน้น Cyber Resilience ตอบโจทย์องค์กรยุคดิจิทัล

ลงทุนไทย – ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก Cohesity เน้น Cyber Resilience ตอบโจทย์องค์กรยุคดิจิทัล

Cohesity ขยายฐานลงทุนสู่ไทยและภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เน้น Cyber Resilience เพื่อช่วยให้องค์กรมีความพร้อม และตอบสนองต่อภัยคุกคามทางไซเบอร์ และองค์กรยุคดิจิทัลจะได้เลือกจัดเก็บข้อมูลในศูนย์ข้อมูลของตนเอง (On-prem) หรือในคลาวด์ได้

Cohesity ผู้นำระดับโลกด้านการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลด้วย เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการบริหารจัดการข้อมูลบนระบบคลาวด์ มุ่งมั่นเสริมสร้างความยืดหยุ่นทาง ไซเบอร์ (Cyber Resilience) เพื่อช่วยให้องค์กรมีความพร้อม และตอบสนองต่อภัยคุกคามทางไซเบอร์ รวมถึงการกู้คืนระบบให้กลับมาให้บริการได้โดยเร็วที่สุดให้แก่องค์กรทั่วโลก ปัจจุบัน Cohesity มีการดำเนินงานครอบคลุมกว่า 140 ประเทศ และให้บริการแก่องค์กรในกลุ่ม Global 500 มากถึง 70 แห่ง

ลงทุนไทย – ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก Cohesity เน้น Cyber Resilience ตอบโจทย์องค์กรยุคดิจิทัล ผู้บริหารจากขวาไปซ้าย

  1. คิท เบล (Kit Beall) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายรายได้ (CRO)  Cohesity
  2. เกร็ก สเตททอน (Greg Statton) ประธานเจ้าหน้าที่เทคโนโลยี (CTO) ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น (Asia Pacific and Japan: APJ) Cohesity
  3. ประมุท ศรีวิเชียร ผู้อำนวยการประจำ ประเทศไทย และภูมิภาคอินโดจีน Cohesity

ทั้งนี้ Cohesity ได้ดำเนินการควบรวมกิจการกับธุรกิจด้านการปกป้องข้อมูลของ Veritas เสร็จสมบูรณ์เมื่อเดือนธันวาคม ปี 2024 ส่งผลให้ Cohesity ก้าวขึ้นเป็นผู้นำในการให้บริการซอฟต์แวร์ด้านการปกป้องข้อมูลตามส่วนแบ่งทางการตลาด

ลงทุนไทย – ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก Cohesity เน้น Cyber Resilience ตอบโจทย์องค์กรยุคดิจิทัล

Cohesity ผนึกกำลัง Veritas

คิท เบล (Kit Beall) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายรายได้ (CRO) ของ Cohesity กล่าวว่า การควบรวมกิจการมีเป้าหมายเพื่อสร้างบริษัทด้านความปลอดภัยข้อมูลที่ขับเคลื่อนด้วย AI ที่ใหญ่ที่สุดและทรงอิทธิพลที่สุดในอุตสาหกรรม ซึ่งประสบความสำเร็จตามเป้าหมายแล้วในช่วง 10 เดือนที่ผ่านมา Cohesity ได้ใช้เวลาส่วนใหญ่ในการผสานรวมทั้งสองบริษัทเข้าด้วยกันอย่างสมบูรณ์ ไม่ว่าจะเป็นด้านทีมขาย ทีมการตลาด และที่สำคัญที่สุดคือทีมวิศวกรรม ซึ่งขณะนี้ได้รวมเข้าเป็นหน่วยปฏิบัติการเดียว

"ตอนนี้เราอยู่ในจุดที่ Cohesity สามารถปกป้องปริมาณเวิร์กโหลดข้อมูล และสถานที่ต่างๆ ทั่วโลกได้มากที่สุด ผลตอบรับจากลูกค้าและพันธมิตรนั้นดีมาก การควบรวมนี้ยังช่วยปกป้องข้อมูลจำนวนมากยิ่งขึ้นเพื่อสังคมโดยรวม เนื่องจากข้อมูลส่วนบุคคลของผู้บริโภคอยู่ในระบบคลาวด์และเครือข่ายต่างๆ"

ความเร่งด่วน รับมือภัยคุกคามไซเบอร์

"เบล" เน้นย้ำถึงความเร่งด่วนในการเสริมสร้างความยืดหยุ่นทางไซเบอร์ โดยระบุว่า ในระดับสากลได้มีบทเรียนร่วมกันว่า ไม่ว่าการป้องกันจากภายนอกจะรัดกุมเพียงใด แฮกเกอร์ก็มักหาทางเจาะเข้ามาได้เสมอ ดังนั้น บทบาทสำคัญที่สุดของ Cohesity คือ การรับรองว่าข้อมูลของลูกค้าจะยังคงได้รับการปกป้องและสามารถกู้คืนได้ หากเกิดเหตุการณ์ถูกโจมตี แฮก ถูกบุกรุก หรือถูกเรียกค่าไถ่ (ransomware)

ภัยคุกคามนี้ขับเคลื่อนความเร่งด่วนในทุกภาคส่วน ตั้งแต่ภาครัฐ (การทหาร บริการสังคม โครงสร้างพื้นฐาน) ภาคการเงิน (ธนาคาร) ภาคสุขภาพ รวมถึงการขนส่งและโลจิสติกส์ "เบล" คาดการณ์ว่าทุกหน่วยงานในประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็น หน่วยงานราชการ และโรงพยาบาล กำลังอยู่ภายใต้การโจมตีอยู่ในขณะนี้ โดยมีการโจมตีอย่างน้อย 100,000 ครั้งต่อวัน

องค์กรยุคใหม่จำเป็นต้องปรับแนวคิดจากการมุ่งเน้นความปลอดภัยทางไซเบอร์แบบดั้งเดิม ไปสู่ "ความยืดหยุ่นทางไซเบอร์" เนื่องจากเมื่อเกิดเหตุการณ์ภัยคุกคามและเครือข่ายภายในถูกบุกรุก แนวป้องกันสุดท้ายขององค์กรจะอยู่ที่ความสามารถในการฟื้นตัวและดำเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง

บทบาท AI และการป้องกันหลายระดับ

"เบล" บอกว่า ปัญหาคือ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) กำลังทำให้การโจมตีง่ายขึ้นสำหรับอาชญากร อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์ของ Cohesity คือการใช้ AI ภายในแพลตฟอร์มเพื่อตรวจจับและบล็อกการโจมตีเช่นกัน

"หากไม่สามารถบล็อกได้ Cohesity จะตรวจสอบให้แน่ใจว่าข้อมูลที่บริษัทปกป้องนั้นไม่สามารถถูกโจมตีได้ หนึ่งในเทคนิคสำคัญคือการใช้ สำเนาข้อมูลแบบ Vaulted Copy ซึ่งเป็นสำเนาที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ (immutable copy) ที่ไม่สามารถถูกเจาะ ไม่สามารถถูกลบ และไม่สามารถถูกแฮกได้"

นอกจากนี้ Cohesity ยังได้สร้างกรอบการทำงาน 5 ขั้นตอน สำหรับความยืดหยุ่นทางไซเบอร์ (Five-step Cyber Resiliency Framework) เพื่อให้ลูกค้าและคู่ค้าใช้ประเมินสถานะของตนเอง ประกอบด้วย 1. การปกป้องข้อมูลทั้งหมด (Protect All Data) 2. สร้างความมั่นใจว่าข้อมูลสามารถกู้คืนได้ตลอดเวลา (Ensure Data is Always Recoverable) 3. การตรวจจับและสืบสวนภัยคุกคาม (Detect and Investigate Threats) 4. การฝึกฝนความสามารถในการกู้คืนของแอปพลิเคชัน (Practice Application Resilience) และ 5. การเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงของข้อมูล (Optimize Data Risk Posture)

"เบล" เน้นย้ำว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดในกรอบการทำงานนี้คือ ความสามารถในการทำระบบอัตโนมัติและการทดสอบความพร้อมในการกู้คืนอย่างสม่ำเสมอ เพื่อช่วยให้องค์กรมีความพร้อมและตอบสนองต่อภัยคุกคามทางไซเบอร์ รวมถึงการกู้คืนระบบให้กลับมาให้บริการได้โดยเร็วที่สุด กรอบการทำงานนี้สร้างขึ้นจากแนวทางปฏิบัติของลูกค้าที่ดีที่สุดและปลอดภัยที่สุด ของ Cohesity ซึ่งรวมถึงกว่า 70% ของบริษัทใน Fortune 500

ลงทุนไทย – ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก Cohesity เน้น Cyber Resilience ตอบโจทย์องค์กรยุคดิจิทัล

รองรับทั้ง On-Prem และ Multi-Cloud 

"เบล" กล่าวถึงข้อมูลอธิปไตย (Data Sovereignty) ซึ่งมีความสำคัญเพิ่มขึ้นเนื่องจากรัฐบาลต้องการควบคุมการจัดการและการจัดเก็บข้อมูลภายในพรมแดนของตน Cohesity จึงมีกลยุทธ์ในการมอบทางเลือกให้ลูกค้า สามารถเลือกระหว่างการจัดเก็บข้อมูลในศูนย์ข้อมูลของตนเอง (On-prem) หรือในคลาวด์

"เราเพิ่งประกาศโซลูชันที่สามารถทำงานแบบ On-prem ได้ คือ Fort Knox ซึ่งเป็นโซลูชัน Cyber Vaulting และโซลูชัน AI ซึ่งช่วยตอบสนองความต้องการของลูกค้า ในภาครัฐที่ตามกฎหมายไม่สามารถเก็บข้อมูลในคลาวด์ได้

นอกจากนี้ Cohesity ยังสนับสนุนแพลตฟอร์มคลาวด์หลักทั้งหมด (AWS, Google, Azure ฯลฯ) ผ่านความสามารถแบบ Multi-cloud โดยใช้คอนโซลการจัดการจากส่วนกลาง ที่เรียกว่า Helios เพื่อให้ลูกค้าสามารถจัดการข้อมูลได้อย่างทุกที ทุกเวลา ไม่ว่าจะเก็บไว้ที่ใด รวมถึงศูนย์ข้อมูล On-prem ที่ถูกพิจารณาว่าเป็น Private Cloud

การลงทุนในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและไทย

"เบล" ระบุว่า ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกเป็นหนึ่งในภูมิภาคที่มีการเติบโตเร็วที่สุด และสำคัญที่สุดสำหรับ Cohesity นอกจากนั้น บริษัทฯ มีลูกค้าจำนวนมากในประเทศไทย ทั้งหน่วยงานการเงิน ธนาคาร สายการบิน หน่วยงานรัฐ และภาคส่วนอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผมมีความภูมิใจที่เราเป็นแพลตฟอรม์ในการปกป้องข้อมูลที่มีความสำคัญให้กับหน่วยงานโครงสร้างพื้นฐานสำคัญทางสารสนเทศ (Critical Information Infrastructure: CII) หลายแห่งในประเทศไทย

"เรากำลังเพิ่มการลงทุนในภูมิภาคนี้ และประเทศไทยมีการเติบโตและสร้างผลกระทบอย่างมากสำหรับบริษัท โดยแนวโน้มหลักที่ขับเคลื่อนตลาดคือ ปริมาณข้อมูลเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จำนวนแอปพลิเคชันก็ขยายตัว และลูกค้าต้องการใช้ข้อมูลเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพ ไม่ใช่แค่เก็บล็อกไว้เฉยๆ"

ที่สำคัญแพลตฟอร์มของ Cohesity ถูกสร้างขึ้นเพื่อให้การจัดการข้อมูลมีประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งช่วยสนับสนุนโครงการด้านสิ่งแวดล้อม (Green Initiatives) และสร้างพื้นที่ว่างในศูนย์ข้อมูลเพื่อรองรับการใช้งานแอปพลิเคชันใหม่ๆ เช่น AI ที่กำลังเป็นที่ต้องการในปัจจุบัน

ลงทุนไทย – ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก Cohesity เน้น Cyber Resilience ตอบโจทย์องค์กรยุคดิจิทัล

ความมุ่งมั่นในภูมิภาค APJ

Cohesity ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการขับเคลื่อนนวัตกรรมในภูมิภาค ด้วยการแต่งตั้ง เกร็ก สเตททอน (Greg Statton) หนึ่งในผู้บุกเบิกเทคโนโลยี AI ของบริษัท ให้ย้ายมารับตำแหน่ง ประธานเจ้าหน้าที่เทคโนโลยี (CTO) ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น (Asia Pacific and Japan: APJ) เพื่อผลักดันการเติบโตและความยั่งยืนของธุรกิจในภูมิภาคนี้

"สเตททอน" กล่าวถึงลำดับความสำคัญสูงสุดที่จะเดินหน้าสำหรับปีนี้และปีหน้า ในฐานะ CTO คือ

  1. เข้าถึงลูกค้าให้มากที่สุด - เพื่อผลักดันการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ขับเคลื่อนด้วยลูกค้า เพราะผลิตภัณฑ์จะยิ่งดีขึ้นเมื่อเข้าใจลูกค้าอย่างลึกซึ้ง
  2. เผยแพร่นวัตกรรมของบริษัท - สร้างแรงขับเคลื่อนและความเชื่อมั่นในแบรนด์ โดยเฉพาะในภูมิภาค APJ ที่แบรนด์ Veritas เป็นที่รู้จักดี แต่ Cohesity ยังใหม่ เป้าหมายคือการสร้างการรับรู้ในฐานะแบรนด์ที่มีทั้ง "รากฐานแข็งแกร่ง" และ "นวัตกรรมที่ล้ำสมัย"
  3. เชื่อมช่องว่างด้านวิศวกรรม - ทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมระหว่างทีมผลิตภัณฑ์ วิศวกรรม และลูกค้า เพื่อให้สามารถพัฒนาฟีเจอร์ใหม่ได้ตรงความต้องการและตอบสนองปัญหาของลูกค้าได้รวดเร็วยิ่งขึ้น

นวัตกรรมใหม่จาก Catalyst 1

"สเตททอน" กล่าวถึง การเปิดตัวนวัตกรรมใหม่จากงาน Catalyst 1 Data Summit ที่มุ่งเสริม ความยืดหยุ่นทางไซเบอร์ขององค์กร เช่น

  • แพลตฟอร์มการจัดการแบบรวมศูนย์ ที่ช่วยให้ลูกค้า NetBackup เชื่อมต่อข้อมูล ระหว่าง NetBackup และ Cohesity Data Cloud ผ่านทาง NetBackup DirectIO ซึ่งเป็นโปรโตคอลสำหรับการสำรองข้อมูลและกู้คืนข้อมูลได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น พร้อมขยายการรองรับ workload เพิ่มเติม โดยเพิ่มคอนเนคเตอร์มากถึง 40 ประเภท ให้กับ DataProtect ภายในสิ้นปีนี้ เพื่อช่วยให้องค์กรสามารถปกป้องข้อมูลบนระบบที่ปลอดภัยและไม่สามารถแก้ไขได้ (fully immutable) นอกจากนั้น Google Threat Intelligence จะถูกเพิ่มเข้าไปในชุด DataProtect เพื่อให้อัปเดตภัยคุกคามล่าสุด ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งรวมไว้ใน Cohesity Data Cloud Enterprise Edition โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม
  • Fort Knox On-Premise โซลูชัน Cyber Vaulting สำหรับองค์กรที่ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย Data Sovereignty ช่วยให้ปกป้องข้อมูลได้เต็มรูปแบบ ขณะยังคงควบคุมการเข้าถึงภายในประเทศ เราเป็นรายแรกที่นำระบบ Cyber Vaulting บนคลาวด์มาใช้ร่วมกับ Cohesity FortKnox และพร้อมเปิดตัวเวอร์ชันสำหรับสภาพแวดล้อมภายในองค์กร On-Premise ตัวเลือก FortKnox Self-managed ใหม่นี้มอบโซลูชันที่สมบูรณ์แบบ ช่วยให้ลูกค้าที่มีข้อกำหนดด้านอธิปไตยของข้อมูลสามารถใช้งาน Vault เสมือนที่แยกส่วนและมีความปลอดภัยสูงภายในศูนย์ข้อมูลของตนเอง Fort Knox Self-managed ใช้เทคโนโลยี Obfuscation ขั้นสูงเพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่ถูกค้นพบตำแหน่งของ Vault แม้ว่าข้อมูลประจำตัวผู้ดูแลระบบคลัสเตอร์หลักจะถูกบุกรุกก็ตาม
  • Gaia และ AI ที่ช่วยให้การค้นหาและใช้งานข้อมูลในองค์กรมีประสิทธิภาพและปลอดภัย ยิ่งขึ้น โดยขยายบริการจากคลาวด์มาสู่ On-Premise เพื่อรองรับข้อกำหนดด้านอธิปไตยข้อมูล

ลูกค้าของ Cohesity พร้อมที่จะปลดล็อกคุณค่าทางธุรกิจ จากข้อมูลที่ได้รับการปกป้องด้วย Cohesity ช่วยให้สามารถค้นพบความรู้ที่ขับเคลื่อนด้วย AI ของ Cohesity Gaia Cohesity Gaia พร้อมใช้งานสำหรับทั้งสภาพแวดล้อมคลาวด์และภายในองค์กร

ลงทุนไทย – ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก Cohesity เน้น Cyber Resilience ตอบโจทย์องค์กรยุคดิจิทัล