แผน AI ชาตินิยมทรัมป์: เร่งเครื่องแข่งจีน เปิดทางเทคโนโลยีสหรัฐ สะเทือนถึงเอเชีย

แผน AI ชาตินิยมทรัมป์: เร่งเครื่องแข่งจีน เปิดทางเทคโนโลยีสหรัฐ สะเทือนถึงเอเชีย

AI Action Plan ของทรัมป์สะท้อนแนวทางชาตินิยมเน้น “America First” ตัดข้อจำกัดทางกฎหมาย ส่งเสริมศูนย์ข้อมูลและโรงงานผลิตชิป ขณะที่เอเชียจับตาผลกระทบทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีอย่างใกล้ชิด

KEY

POINTS

  • แผน AI ของทรัมป์ใช้แนวทางชาตินิยม America First เร่งพัฒนาเทคโนโลยีสหรัฐลดข้อจำกัดทางกฎหมาย เพื่อเอาชนะจีน
  • เน้นสร้างโครงสร้างพื้นฐานสำหรับศูนย์ข้อมูลและโรงงานชิป พร้อมผลักดันให้ชาติพันธมิตรเลือกใช้เทคโนโลยีของสหรัฐ แทนจีน
  • ทรัมป์ประกาศต่อต้าน Woke AI ต้องการให้ระบบเอไอสะท้อนคุณค่าความเป็นอเมริกัน
  • แผนดังกล่าวจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อเอเชีย โดยเฉพาะญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ซึ่งเป็นผู้เล่นหลักในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และห่วงโซ่อุปทานเทคโนโลยี

ขณะที่หลายประเทศกำลังวางกรอบการกำกับดูแลเอไออย่างระมัดระวัง สหรัฐภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กลับเดินเกมสวนทาง ด้วยการเปิดตัว “Winning the Race: America’s AI Action Plan” ที่สะท้อนแนวคิดแบบมือไม่แตะตลาด (laissez-faire) และยึดแนวทางชาตินิยมเทคโนโลยี

พร้อมประกาศเจตนารมณ์ “America First” อย่างชัดเจน โดยเน้นเร่งสร้างโครงสร้างพื้นฐานเอไอ ส่งเสริมการส่งออกเทคโนโลยีสหรัฐ และต่อต้านโมเดลเอไอที่มีแนวคิดความหลากหลาย (DEI) ซึ่งถูกตีตราว่าเป็น “Woke AI”

แผนความยาว 28 หน้าฉบับนี้วางหลักไว้ 3 เรื่องหลัก:

  • ตัดข้อจำกัดทางกฎหมาย พร้อมพิจารณายกเลิกกฎควบคุมระดับรัฐ
  • สนับสนุนโครงสร้างพื้นฐานสำหรับศูนย์ข้อมูลและโรงงานผลิตชิป
  • ผลักดันให้ประเทศพันธมิตรเลือกใช้เทคโนโลยีจากสหรัฐ แทนที่จะหันไปพึ่งจีน

“สหรัฐเป็นชาติที่เริ่มต้นการแข่งขันเอไอ และผมขอประกาศว่าเราจะเป็นฝ่ายชนะ” ทรัมป์กล่าวในเวที AI Summit ที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. พร้อมเน้นย้ำว่า “เราต้องการเห็นความรักชาติในซิลิคอนวัลเลย์”

เอเชียรับแรงสะเทือน ญี่ปุ่น - เกาหลีใต้จับตาใกล้ชิด

สกอตต์ ซิงเกอร์ (Scott Singer) นักวิชาการรับเชิญด้านนโยบายเอไอจากสถาบันวิจัยเพื่อสันติภาพระหว่างประเทศ คาร์เนกี กล่าวว่า แม้แผนเอไอของรัฐบาลทรัมป์จะถูกออกแบบโดยคำนึงถึงผลประโยชน์ในประเทศเป็นหลัก โดยเฉพาะการสนับสนุนบริษัทยักษ์ใหญ่ของสหรัฐ

เช่น Nvidia, AMD, Microsoft, Google และ Amazon แต่ด้วยตำแหน่งของสหรัฐในห่วงโซ่อุปทานเทคโนโลยีโลก ผลสะเทือนจากนโยบายนี้จะกระจายไปยังประเทศอื่น โดยเฉพาะในเอเชีย

นอกจากนี้ ซิงเกอร์ยังระบุเพิ่มว่า ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้จะเป็นประเทศกลุ่มแรกที่ได้รับผลกระทบจากแนวทางใหม่ของสหรัฐ ไม่เพียงเพราะทั้งสองประเทศเป็นผู้เล่นหลักในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ และฮาร์ดแวร์เอไอ แต่ยังเพราะมีบทบาทสำคัญในระบบเศรษฐกิจโลกที่เชื่อมโยงกับเทคโนโลยีสหรัฐโดยตรง

ขณะเดียวกัน ยังมีคำให้สัมภาษณ์จากผู้บริหารบริษัทเซมิคอนดักเตอร์ในเกาหลีใต้ (ไม่เปิดเผยชื่อ) ที่ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว Nikkei Asia ระบุว่า การผ่อนคลายกฎการส่งออกเทคโนโลยีขั้นสูง และการเร่งลงทุนในศูนย์ข้อมูลของสหรัฐ ไม่เพียงเป็นผลดีต่อบริษัทสหรัฐเท่านั้น แต่ยังส่งผลในเชิงบวกต่อบริษัทเอเชียในห่วงโซ่อุปทาน

“เมื่อสหรัฐขยับ ห่วงโซ่อุปทานเทคโนโลยีก็สั่นไหวตาม” ผู้บริหารบริษัทเซมิคอนดักเตอร์ในเกาหลีใต้กล่าว

แผน American Values ถูกฝังในโมเดลเอไอ

แม้แผนเอไอฉบับทรัมป์จะได้รับการชื่นชมจากภาคเอกชนในฐานะนโยบายที่ปลดล็อกศักยภาพของอุตสาหกรรมเทคโนโลยี โดยเฉพาะบริษัทด้านชิป ศูนย์ข้อมูล และแพลตฟอร์มเอไอรายใหญ่

แต่ในอีกมุมหนึ่ง หลายฝ่ายกลับแสดงความกังวลว่า นโยบายที่มุ่งส่งเสริมการเติบโตโดยไม่มีกรอบควบคุมที่ชัดเจน อาจเปิดช่องให้เกิดความเสี่ยงต่อสาธารณะ และขาดความรับผิดชอบต่อผลกระทบที่อาจตามมา

หนึ่งในประเด็นที่ถูกพูดถึงอย่างมาก คือ การที่แผนเอไอของสหรัฐ ระบุว่า ระบบเอไอควรสะท้อน “คุณค่าความเป็นอเมริกัน” คล้ายกับแนวทางของจีนที่กำหนดให้เอไอต้องสะท้อน “ค่านิยมสังคมนิยม” ของพรรคคอมมิวนิสต์

ทรัมป์ยังแสดงจุดยืนชัดเจนว่าจะไม่ยอมให้รัฐบาลกลางใช้ Woke AI หรือโมเดลที่ส่งเสริมแนวคิดเรื่องความหลากหลาย (Diversity), ความเท่าเทียม (Equity), และการมีส่วนร่วม (Inclusion) ซึ่งเขามองว่าไม่สอดคล้องกับทิศทางชาติ

พร้อมกันนี้ เขายังเรียกร้องให้สหรัฐมี “กติกาเดียวกับจีน” โดยยกตัวอย่างว่า หากจีนไม่ห้ามการใช้เนื้อหาที่มีลิขสิทธิ์ในการฝึกโมเดลเอไอ สหรัฐก็ไม่ควรห้ามเช่นกัน

เซียโอเมิ่ง ลู่ (Xiaomeng Lu) ผู้อำนวยการด้านภูมิรัฐศาสตร์เทคโนโลยี จากกลุ่มยุทธศาสตร์ระดับโลก ยูเรเชีย กรุ๊ป เตือนว่า ท่าทีของรัฐบาลทรัมป์อาจกลายเป็น “ตัวอย่างเชิงลบ” ที่ประเทศอื่นนำไปศึกษาว่าไม่ควรเดินรอยตาม เนื่องจากขาดความชัดเจนว่า หากเกิดอุบัติการณ์จากการใช้เอไอ เช่น การละเมิดข้อมูล ลำเอียงเชิงอัลกอริทึม หรือผลลัพธ์ที่สร้างความเสียหายทางสังคม 

“ถ้าเกิดวิกฤติจากเอไอ ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบ? จะมีกรอบใดรองรับ?” ลู่ ตั้งคำถาม

นักวิชาการบางรายมองว่า สหรัฐอาจกำลังเดินหน้าในทิศทางที่ไม่ต่างจากจีนมากนัก เพียงแต่เปลี่ยนคำอธิบายจาก “สังคมนิยม” เป็น “อเมริกันนิยม” ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นความพยายามในการฝังอุดมการณ์ลงในระบบเทคโนโลยีขั้นสูงที่ทรงอิทธิพลต่อชีวิตผู้คนในอนาคต

ด้าน ซิงเกอร์ ตั้งข้อสังเกตว่า แม้สหรัฐจะเดินหน้าผลักดันนโยบายเอไอด้วยความเร็วสูง ท่ามกลางแรงกดดันจากจีนและการแข่งขันระดับโลก แต่คำถามสำคัญที่ยังไม่มีคำตอบคือ “เรากำลังแข่งเพื่ออะไร และจะไปสิ้นสุดที่ตรงไหน?”

“หากเอไอสร้างหายนะขึ้นมา ไม่ว่าจะเกิดในสหรัฐ หรือจีน มันไม่ได้กระทบแค่ประเทศใดประเทศหนึ่ง แต่มันกระทบคนทั้งโลก ไม่มีใครเป็นผู้ชนะจริงๆ ในเกมนี้” ซิงเกอร์ กล่าวทิ้งท้าย

ท่าทีอาเซียนต่อเอไอ: สมดุลระหว่างนวัตกรรมและความรับผิดชอบ

สำหรับภูมิภาคอาเซียน การพัฒนาและกำกับดูแลเอไอยังเป็นเรื่องที่ต้องบาลานซ์อย่างระมัดระวัง รัฐบาลในกลุ่มประเทศสมาชิกต่างตระหนักดีถึงศักยภาพของเอไอที่จะช่วยผลักดันเศรษฐกิจและแก้ไขปัญหาสังคมสำคัญๆ แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่มองข้ามความเสี่ยงที่อาจตามมา

อาเซียนจึงได้จัดตั้งกรอบ “AI Governance and Ethics” ขึ้นเพื่อส่งเสริมการประสานงานและสร้างความสอดคล้องด้านนโยบายเอไอระหว่างประเทศสมาชิก โดยเปิดพื้นที่ให้แต่ละประเทศปรับใช้หลักการตามบริบทและความพร้อมของตนเองได้อย่างยืดหยุ่น

ญี่ปุ่นตั้งเป้าหมายอย่างทะเยอทะยานที่จะเป็นประเทศที่เป็นมิตรกับปัญญาประดิษฐ์ (AI) มากที่สุดในโลก โดยมองเห็นโอกาสที่จะยกระดับคุณภาพชีวิต เพิ่มประสิทธิภาพทางเศรษฐกิจ และแก้ไขปัญหาสังคมสำคัญ 

เช่น การชดเชยปัญหาการขาดแคลนแรงงานจากการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ซึ่งในรายงานล่าสุดโดยบริษัทที่ปรึกษา Public First ในลอนดอน ระบุว่าแรงงานจะลดลงถึง 41% หากไม่มีมาตรการรองรับ ญี่ปุ่นจึงได้ออกกฎหมายเอไอฉบับสำคัญ ซึ่งช่วยวางรากฐานในการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีนี้อย่างเป็นรูปธรรม

นอกจากนี้ ญี่ปุ่นผ่านกฎหมายส่งเสริมเอไอ (AI Promotion Act) ที่สนับสนุนงานวิจัยและพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในด้านเอไอ พร้อมมีกรอบการกำกับดูแลที่ยืดหยุ่นและมีข้อมูลรองรับการตัดสินใจแบบมีหลักฐาน ช่วยส่งเสริมการลงทุนและการนำเอไอไปใช้จริง

สิงคโปร์เลือกแนวทางปฏิบัติที่สมดุลระหว่างการส่งเสริมการเติบโตและการกำกับดูแลที่เหมาะสม โดยใช้โมเดลการบริหารจัดการที่สนับสนุนการแข่งขันเชิงบวก (“race to the top”) แทนที่จะใช้กฎระเบียบที่เข้มงวดมากเกินไป 

ประเทศยังเน้นความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน เช่น โครงการ Project SEALD ที่ Google ร่วมมือกับ AI Singapore เพื่อพัฒนาชุดข้อมูลภาษาที่ใช้ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และพัฒนาโมเดลภาษาเฉพาะที่สะท้อนบริบททางภาษาและวัฒนธรรมในภูมิภาค

อินเดียเองก็เลือกใช้แนวทางส่งเสริมนวัตกรรม โดยสนับสนุนการกำกับดูแลแบบอิสระและใช้กฎหมายที่มีอยู่ให้เหมาะสมกับเอไอ รัฐบาลอินเดียเน้นการพัฒนาโมเดลเอไอที่ตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะของประเทศ ผ่านการส่งเสริมสตาร์ตอัปและนักวิจัยท้องถิ่น

อ้างอิง: Asia Nikkei