Microsoft ลงทุนให้ Open AI แต่คนใช้ ChatGPT มากกว่า Copilot

ไมโครซอฟท์ลงทุนให้ Open AI มูลค่า 14,000 ล้านดอลลาร์ เพื่อดึงเทคโนโลยีมาปรับใช้กับระบบของตน หวังขึ้นแท่นเอไอลูกรักพนักงานออฟฟิศ แต่พอถึงเวลาจริง พนักงานกลับหันไปใช้ ChatGPT มากกว่า Copilot
KEY
POINTS
- ไมโครซอฟท์ลงทุนในโอเพนเอไอกว่า 14,000 ล้านดอลลาร์ และใช้โมเดล GPT-4 กับ Copilot ที่ฝังใน Microsoft 365 เจาะตลาดซอฟต์แวร์สำนักงาน
- พนักงานในออฟฟิศเลือกใช้ ChatGPT มากกว่า Copilot เพราะชินกับการใช้งานในชีวิตประจำวัน ทำให้ไมโครซอฟท์เจอกับเรื่องปวดหัว
- ความสัมพันธ์ไมโครซอฟท์กับโอเพนเอไอซับซ้อนขึ้น เพราะเป็นทั้งพันธมิตรและคู่แข่ง
- โอเพนเอไอกำลังพัฒนาชุดซอฟต์แวร์ทำงานแบบครบวงจร แข่งกับ Microsoft Office และ Google Workspace
- หุ้นไมโครซอฟท์และกูเกิลปรับตัวขึ้นเล็กน้อย ขณะที่นักลงทุนรายย่อยมีความเชื่อมั่นในโอเพนเอไอเพิ่มขึ้น
ไมโครซอฟท์กำลังเจอกับ “เรื่องปวดหัว?” สำหรับแผนที่จะดัน Copilot เป็นผู้ช่วยเอไอประจำออฟฟิศ
ย้อนกลับไปเมื่อปี 2567 ไมโครซอฟท์ได้เปิดตัว Copilot เอไอที่ถูกฝังไว้ในโปรแกรมที่คนใช้งานบ่อย เช่น Word, Excel และ Outlook โดยตั้งใจให้มันช่วยลดภาระงาน เรียบเรียงเอกสาร คิดสูตรใน Excel หรือช่วยตอบอีเมลให้รวดเร็วขึ้น
เพื่อให้แผนนี้เดินหน้าได้เต็มที่ ไมโครซอฟท์ถึงขั้นลงทุนมากกว่า 14,000 ล้านดอลลาร์ (ราว 500,000 ล้านบาท) ให้กับบริษัท OpenAI ซึ่งเป็นเจ้าของ ChatGPT เพราะต้องการนำโมเดล GPT-4 มาใช้ในระบบของตนเอง ซึ่งก็คือ Copilot
ไมโครซอฟท์คาดการณ์ว่าพนักงานน่าจะเลือกใช้ Copilot เพราะมีราคาที่ถูกกว่า โดยเก็บค่าบริการเพียงเดือนละ 30 ดอลลาร์ เมื่อเทียบกับ ChatGPT ที่อาจมีค่าใช้จ่ายสูงถึง 60 ดอลลาร์ต่อเดือน แต่สถานการณ์กลับไม่เป็นไปตามที่คาดหวังเอาไว้
ปรากฏว่าพนักงานจากหลายบริษัทขนาดใหญ่กลับเลือกใช้ ChatGPT แทน Copilot ซึ่งเป็นสิ่งที่ไมโครซอฟท์ไม่เคยคิดว่าจะเกิดขึ้น
ความแตกต่างระหว่างสองระบบ
สองระบบนี้ต่างกันอย่างไร? — Copilot คือผู้ช่วยเอไอที่ไมโครซอฟท์พัฒนาขึ้นมาเป็นของตนเอง ออกแบบเพื่อใช้ทำงานร่วมกับโปรแกรมต่างๆ ของไมโครซอฟท์
ขณะที่ ChatGPT เป็นแชตบอตเอไอของโอเพนเอไอใช้ตอบคำถาม เขียนสรุป วิเคราะห์ข้อมูล รวมถึงงานอื่นๆ อีกมากมาย โดยสองตัวใช้เทคโนโลยีพื้นฐานที่คล้ายคลึงกัน เนื่องจากไมโครซอฟท์ก็นำเทคโนโลยีของโอเพนเอไอมาประยุกต์ใช้ใน Copilot เช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ข้อได้เปรียบของ ChatGPT คือ การที่มันเปิดให้คนทั่วไปเข้าถึงและใช้งานได้ก่อน ทำให้ผู้คนรู้จักและคุ้นเคยกับ ChatGPT มากกว่า โดยหลายคนได้ลองใช้งานที่บ้านก่อนที่บริษัทจะนำ Copilot เข้ามาให้ใช้ในสำนักงาน
กรณีศึกษา Amgen เริ่มต้นกับ Copilot แต่จบที่ ChatGPT
บริษัทผลิตยาขนาดใหญ่ชื่อ Amgen ตัดสินใจซื้อ Copilot ให้พนักงานใช้กว่า 20,000 คน ซึ่งถือว่าเป็นดีลใหญ่ของไมโครซอฟท์ที่ใช้โชว์ความสำเร็จของ Copilot แต่ผ่านไปแค่ปีเดียว พนักงานกลับใช้ ChatGPT แทน เพราะรู้สึกว่าใช้ง่ายกว่า และช่วยทำงานได้มากกว่า โดยเฉพาะการหาข้อมูลหรือสรุปเอกสารต่างๆ
ฌอน บรูช (Sean Bruich) รองประธานอาวุโสของ Amgen อธิบายว่า ChatGPT ใช้แล้วสนุก และสะดวก ส่วน Copilot ก็ยังมีประโยชน์ โดยเฉพาะเวลาทำงานร่วมกับ Outlook หรือ Excel
อีกตัวอย่างคือ บริษัทที่ปรึกษา Bain & Company ที่มีพนักงาน 16,000 คนใช้ ChatGPT เป็นส่วนใหญ่ ในขณะที่ใช้ Copilot แค่ 2,000 คนเท่านั้น และส่วนใหญ่ก็ใช้กับ Excel เป็นหลัก ราเมช ราซดาน (Ramesh Razdan) ผู้บริหารของ Bain บอกตรงๆ ว่า “Copilot กำลังดีขึ้น แต่ยังไม่เท่า ChatGPT”
ด้านบริษัทประกันชีวิต New York Life ให้พนักงาน 12,000 คนลองใช้ทั้งคู่ แล้วจะตัดสินใจทีหลังว่าจะเลือกตัวไหนใช้ในระยะยาว ผลที่ได้ก็คือส่วนใหญ่พนักงานยังคงเลือก ChatGPT
ทำไมพนักงานถึงเลือกใช้ ChatGPT
เหตุผลใหญ่ที่สุดคือ พนักงานหลายคนเคยลองใช้ ChatGPT ที่บ้านมาก่อนแล้ว พอมาทำงานก็อยากใช้ตัวเดิมที่คุ้นเคย
นอกจากนี้ ChatGPT ยังใช้งานง่ายกว่า สนุกกว่า ตอบคำถามได้หลากหลายและธรรมชาติ ในขณะที่ Copilot เน้นทำงานคู่กับโปรแกรมไมโครซอฟท์เป็นหลัก อีกอย่างคือ ChatGPT มีฟีเจอร์ใหม่ๆ อัปเดตตลอดเวลา แต่ Copilot ต้องรอไมโครซอฟท์ตรวจสอบก่อนเลยได้ฟีเจอร์ใหม่ช้ากว่า
ถึงแม้ไมโครซอฟท์จะมีข้อได้เปรียบจากการเชื่อมต่อ Copilot กับ Microsoft 365 และมีลูกค้าองค์กรใหญ่ 70% ที่เริ่มใช้งาน แต่การ์ทเนอร์ระบุว่า ส่วนใหญ่ยังอยู่ในช่วงทดลองใช้เท่านั้น
ในทางกลับกัน ChatGPT เปิดให้ผู้ใช้ทั่วไปเข้าถึงและใช้งานได้ง่ายตั้งแต่แรก ทำให้ ChatGPT มีข้อได้เปรียบในเรื่อง “ความเร็วในการเข้าถึง” (first-mover advantage) และผู้ใช้งานหลายคนจึงมีความคุ้นเคยกับ ChatGPT มาก่อนที่จะได้ลอง Copilot ซึ่งช่วยให้ ChatGPT ได้ใจผู้ใช้ตั้งแต่ต้น
“รู้สึกมันเป็นทางการเกินไป ใช้ยากกว่านิดหน่อย” หนึ่งในความเห็นของพนักงานที่ลองใช้ Copilot
ศึกภายในพันธมิตร ‘คู่ค้า-คู่แข่ง’
ไมโครซอฟ์พยายามแก้ไขสถานการณ์ด้วยการเน้นจุดแข็งของตัวเอง โดยเน้นที่ราคาถูกกว่า ความปลอดภัยที่สูงกว่า เพราะทำงานในระบบนิเวศของไมโครซอฟท์ และความสะดวกในการใช้คู่กับโปรแกรมที่มีอยู่แล้วโดยไม่ต้องเรียนรู้ใหม่
แต่ ChatGPT ก็ไม่ยอมแพ้ พวกเขาเปลี่ยนมาคิดเงินตามการใช้งานจริงแทนที่จะเป็นค่าธรรมเนียมคงที่ ทำให้อาจถูกลงในบางกรณี และยังให้ส่วนลดสำหรับลูกค้าที่ซื้อบริการอื่นๆ ด้วย
สำหรับไมโครซอฟท์ นี่เป็นสถานการณ์ที่น่าปวดหัวมาก เพราะพวกเขาลงทุนไปแล้วหลายพันล้าน แต่คู่หูกลับกลายเป็นคู่แข่ง ต้องมาแข่งกับบริษัทที่ตัวเองลงทุนให้ ในขณะเดียวกันโอเพนเอไอก็ได้ผลตอบแทนที่ดี มีผู้ใช้ธุรกิจ 3 ล้านคน เพิ่มขึ้น 50% ในไม่กี่เดือน และกำลังขยายธุรกิจเข้าสู่ตลาดองค์กรอย่างจริงจัง
แหล่งข่าวจาก The Information เผยว่า โอเพนเอไอกำลังพัฒนาชุดเครื่องมือสำหรับการทำงานแบบครบวงจร (Productivity Software) ที่อาจกลายเป็น “คู่แข่งโดยตรง” ของไมโครซอฟท์ และกูเกิลซึ่งเป็นสองยักษ์ใหญ่ในตลาดซอฟต์แวร์สำนักงาน
เครื่องมือใหม่ของโอเพนเอไอจะเปิดให้ผู้ใช้สามารถทำงานร่วมกัน แก้ไขเอกสาร และสื่อสารผ่านแชตได้ “ภายใน ChatGPT” เลยทันที หากสำเร็จ จะถือเป็นการชนตรงกับ Microsoft Office และ Google Workspace
ความเคลื่อนไหวในตลาดหุ้นและความเชื่อมั่น
แม้ข่าวนี้จะสร้างแรงกระเพื่อมในวงการ แต่ราคาหุ้นไมโครซอฟท์ยังคงเพิ่มขึ้น 0.8% ระหว่างการซื้อขายช่วงบ่ายวันอังคาร (24 มิ.ย.) ขณะที่หุ้น Alphabet (บริษัทแม่ของกูเกิล) ขยับขึ้น 1.4% หลัง Citi ปรับราคาเป้าหมายขึ้นจาก 200 ดอลลาร์เป็น 203 ดอลลาร์ จากความแข็งแกร่งของธุรกิจ Search และ YouTube
ฝั่งนักลงทุนรายย่อยในแพลตฟอร์ม Stocktwits ก็เริ่มมีมุมมองเชิงบวกกับโอเพนเอไอมากขึ้น โดยความเชื่อมั่นถูกยกระดับจากระดับ Neutral ขึ้นมาเป็น Bullish ภายในวันเดียว
อีกหนึ่งตัวเลขน่าจับตาคือ โอเพนเอไอรายงานว่า ChatGPT มีรายได้ประจำ (ARR) ทะลุ 10,000 ล้านดอลลาร์ต่อปีแล้ว และตั้งเป้าทะลุ 125,000 ล้านดอลลาร์ภายในปี 2573
Copilot ยังสู้ต่อ
อย่างไรก็ตาม แม้จะเสียพื้นที่ในบางองค์กร แต่ไมโครซอฟท์ก็ยังคว้าดีลใหญ่กับบริษัทอย่าง Barclays, Accenture และ Volkswagen ที่มีผู้ใช้ Copilot มากกว่า 100,000 รายต่อบริษัท
สัตยา นาเดลลา (Satya Nadella) ซีอีโอของไมโครซอฟท์บอกว่า เป้าหมายคืออยากให้คน “หลักร้อยล้าน” ใช้เอไอของไมโครซอฟท์ให้ได้ในอนาคต
อ้างอิง: Bloomberg, Tech In Asia, Investing และ The Information







