อินวิเดียมีคู่แข่ง ‘หัวเว่ย’ เปิดตัว CloudMatrix 384 ระบบประมวลผลเอไอสเกลใหญ่

หัวเว่ยเพิ่มทางเลือกให้ตลาดเอไอด้วย ‘CloudMatrix 384 Supernode’ ระบบประมวลผลสเกลใหญ่ มีพลังประมวลผล 300 เพตาฟล็อปส์ เหนือกว่า Nvidia GB200 ของอินวิเดีย 1.6 เท่า แม้จะใช้พลังงานมากกว่า
หัวเว่ย เทคโนโลยีส์ (Huawei Technology) บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีจากประเทศจีน เปิดตัวสถาปัตยกรรมโครงสร้างพื้นฐานสำหรับปัญญาประดิษฐ์ (AI) รุ่นใหม่ชื่อว่า “CloudMatrix 384 Supernode” หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า CM384 ในงาน Huawei Cloud Ecosystem Conference 2025
ระบบนี้ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหาคอขวดด้านการคำนวณในศูนย์ข้อมูลเอไอ และกำลังได้รับการจับตามองให้เป็นคู่แข่งที่สำคัญของระบบ Nvidia GB200 หรือ NVL72 จากอินวิเดีย ผู้นำด้านชิปเอไอของสหรัฐ
อย่างไรก็ตาม ระบบที่ว่า ไม่ใช่แค่ “ชิป” ตัวเดียว แต่เป็นเหมือน “คอมพิวเตอร์ขนาดยักษ์” ที่เอาชิปหลายตัวมาต่อรวมกันทำให้สามารถประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่มากๆ ได้ โดยเฉพาะพวกเอไอหรือโมเดลภาษาแบบ ChatGPT ที่ต้องใช้พลังงานสูง โดยหัวเว่ยเรียกระบบนี้ว่า CM384 ส่วนอินวิเดียเรียกว่า NVL72
การทำงานของระบบ CloudMatrix 384 Supernode
ตามรายงานของสำนักข่าว STAR Market Daily แหล่งข่าวภายในจีน ระบบ CloudMatrix 384 นี้ประกอบด้วยชิปประมวลผล Ascend 910C จำนวน 384 ชิ้น ซึ่งถูกออกแบบให้เชื่อมต่อกันในรูปแบบ all-to-all topology ทำให้ชิปทุกตัวสามารถสื่อสารกันได้โดยตรงแบบไร้คอขวด โครงสร้างทั้งหมดถูกจัดวางกระจายอยู่ใน 16 ตู้แร็ก โดย 12 ตู้ทำหน้าที่เป็นหน่วยประมวลผลหลักที่มี GPU 32 ตัวต่อแร็ก และอีก 4 ตู้ทำหน้าที่เป็นสวิตช์สำหรับการเชื่อมต่อภายในระบบ
ระบบยังใช้เทคโนโลยีใยแก้วนำแสง (optics) 100% โดยไม่พึ่งพาสายทองแดงแบบดั้งเดิมเลย ระบบนี้ต้องการตัวรับส่งสัญญาณแสงจำนวนมากถึง 6,912 ชิ้น ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงจุดแข็งของอุตสาหกรรมจีนในการผลิตอุปกรณ์เครือข่ายภายในประเทศได้เอง
ปัจจุบัน หัวเว่ยติดตั้งระบบ CM384 เสร็จสมบูรณ์แล้วที่ศูนย์ข้อมูลในเมืองอูหู มณฑลอันฮุยของจีน ซึ่งเป็นศูนย์กลางการประมวลผลเอไอขนาดใหญ่ของบริษัท
(ภาพจากบัญชีผู้ใช้ X ชื่อ @zephyr_z9)
เอาชนะด้วยกลยุทธ์จำนวนมากกว่าคุณภาพ
เมื่อพิจารณาด้านประสิทธิภาพ CloudMatrix มีกำลังประมวลผลสูงถึง 300 เพตาฟล็อปส์ (1 เพตาฟล็อปส์คือความสามารถในการคำนวณ 1 ล้านล้านครั้งต่อวินาที) ในขณะที่ระบบ NVL72 ของอินวิเดียทำได้เพียง 180 เพตาฟล็อปส์
ระบบของหัวเว่ยยังมีความจุหน่วยความจำมากกว่า 3.6 เท่า และมีแบนด์วิธหน่วยความจำ (ความเร็วในการอ่านและเขียนข้อมูล) มากกว่า 2.1 เท่าเมื่อเทียบกับระบบของอินวิเดีย ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการประมวลผลโมเดลเอไอขนาดใหญ่
วิธีที่หัวเว่ยใช้แก้ปัญหาข้อจำกัดด้านเทคโนโลยี ซึ่งชิป Ascend 910C ถูกผลิตด้วยเทคโนโลยี 7 นาโนเมตร ไม่ใช่เทคโนโลยีล่าสุดในตลาดโลก แน่นอนว่ามีประสิทธิภาพด้อยกว่าชิป Blackwell ของอินวิเดียประมาณ 3 เท่า แต่หัวเว่ยแก้ปัญหานี้ด้วยการใช้ชิปจำนวนมากกว่าถึง 5 เท่า (384 ชิปเทียบกับแค่ 72 ชิป) ผลลัพธ์คือ ระบบโดยรวมทำงานได้เร็วกว่าคู่แข่งได้ แม้ว่าชิปแต่ละตัวจะด้อยกว่าก็ตาม
ทั้งนี้ ควรกล่าวถึงระบบ NVL72 ของอินวิเดียที่เปิดตัวในเดือนมีนาคม 2567 ซึ่งใช้เทคโนโลยี NVLink ที่ช่วยให้หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) จำนวน 72 ตัวทำงานประสานกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ เทคโนโลยีนี้ช่วยเพิ่มความเร็วในการประมวลผลเอไอได้มากกว่าการ์ดรุ่นก่อนหน้านี้ถึง 30 เท่า
ข้อจำกัดของระบบ CloudMatrix
แม้ CloudMatrix จะมีความสามารถในการประมวลผลที่สูงกว่า แต่ข้อเสียที่สำคัญของระบบ CM384 คือ การใช้พลังงานที่มากกว่าระบบ NVL72 ถึง 3.9 เท่า มีประสิทธิภาพการใช้พลังงานต่อหน่วยการประมวลผลที่ด้อยกว่า 2.3 เท่า และมีประสิทธิภาพการใช้พลังงานต่อแบนด์วิธหน่วยความจำที่แย่กว่าถึง 1.8 เท่า
อย่างไรก็ตาม จีนมีข้อได้เปรียบด้านการผลิตพลังงานที่อาจช่วยบรรเทาปัญหานี้ เนื่องจากในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา จีนได้เพิ่มกำลังการผลิตพลังงานอย่างมหาศาลเท่ากับกำลังการผลิตทั้งหมดของสหรัฐ
ทั้งจากแหล่งพลังงานหลากหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นถ่านหิน พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานน้ำ พลังงานลม และพลังงานนิวเคลียร์ ด้วยเหตุนี้ การที่ระบบใช้พลังงานมากขึ้นจึงไม่ใช่อุปสรรคใหญ่สำหรับการใช้งานในประเทศจีน แต่อาจเป็นข้อจำกัดสำคัญสำหรับลูกค้าในหลายประเทศที่มีต้นทุนพลังงานสูงหรือมีข้อจำกัดด้านการจัดหาพลังงาน
การพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ
แม้หัวเว่ยจะสามารถออกแบบชิป Ascend 910C ได้เองภายในประเทศจีน แต่กระบวนการผลิตยังคงต้องพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศอยู่มาก ทั้งในส่วนของหน่วยความจำ HBM จากซัมซุงของเกาหลีใต้ แผ่นซิลิคอนคุณภาพสูงจาก TSMC ของไต้หวัน รวมถึงอุปกรณ์การผลิตจากสหรัฐ เนเธอร์แลนด์ และญี่ปุ่น
ชิป Ascend 910C ส่วนใหญ่ยังคงผลิตโดย TSMC ด้วยกระบวนการ 7 นาโนเมตร แม้ว่าจีนจะมีบริษัท SMIC ที่สามารถผลิตชิปด้วยเทคโนโลยี 7 นาโนเมตรได้แล้วก็ตาม แต่หัวเว่ยก็ยังพยายามหาวิธีแก้ปัญหาการคว่ำบาตรจากสหรัฐที่ห้าม TSMC ผลิตชิปให้กับบริษัทได้ โดยการซื้อแผ่นซิลิคอนมูลค่าประมาณ 500 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 18,000 ล้านบาท) ผ่านบริษัทตัวกลางชื่อ Sophgo เพื่อให้สามารถผลิตชิป Ascend 910C ต่อไปได้ในสภาวะที่มีมาตรการจำกัดการผลิตจากผู้ผลิตต่างประเทศ
พัฒนาการของหัวเว่ยภายใต้มาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐ
หัวเว่ยถูกจำกัดโดยมาตรการคว่ำบาตรจากสหรัฐ ทำให้บริษัทต้องเร่งพัฒนาความสามารถด้านเทคโนโลยีด้วยตัวเอง โดยในช่วงหลายปีที่ผ่านมา หัวเว่ยได้เปลี่ยนไปใช้อุปกรณ์ที่ผลิตภายในประเทศแทนชิ้นส่วนนำเข้าจากต่างชาติกว่า 13,000 รายการ
ความพยายามดังกล่าวส่งผลต่อผลประกอบการของบริษัท โดยในปี 2566 หัวเว่ยมียอดขายเพิ่มขึ้น 10% เป็น 704,200 ล้านหยวน (ประมาณ 3.61 ล้านล้านบาท) และกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวอยู่ที่ 87,000 ล้านหยวน (ประมาณ 446,000 ล้านบาท)
ความต้องการระบบเอไอทั่วโลกกำลังเพิ่มสูงขึ้น หัวเว่ยเคยคาดการณ์ไว้ว่า ภายในปี 2568 ตลาดเอไอจะขยายตัวถึง 86% การเข้ามาของระบบอย่าง CloudMatrix อาจส่งผลต่อการตัดสินใจของบริษัทต่างๆ สำหรับการเลือกใช้เทคโนโลยีในอนาคต
อ้างอิง: South China Morning Post, Tech in Asia, SemiAnalysis