นโยบาย 'สี จิ้นผิง' สมัยที่สาม ย้ำ‘จีน’เป็นผู้นำเทคโนโลยี‘เอไอ’

นโยบาย 'สี จิ้นผิง' สมัยที่สาม  ย้ำ‘จีน’เป็นผู้นำเทคโนโลยี‘เอไอ’

นโยบายรัฐบาลจีนด้านหนึ่งที่โดดเด่น คือ การตั้งเป้าหมายให้จีนเป็นผู้นำด้านอุตสาหกรรมเอไอ มีเป้าหมายปี 2030 อุตสาหกรรมนี้จะมีมูลค่า 1 ล้านล้านหยวน (หรือ 154,638 ล้านดอลลาร์) ต่อปีและเทคโนโลยีเอไอ จะสร้างมูลค่าเพิ่มให้อุตสาหกรรมอื่นเป็นมูลค่าปีละ 10 ล้านล้านหยวน

การประชุมสมัชชาใหญ่ พรรคคอมมิวนิสต์จีน ขณะที่ ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง จะเข้ารับตำแหน่งในสมัยที่สอง เมื่อปี 2017 เขากล่าวไว้ว่า จะให้ความสำคัญเรื่องนวัตกรรมทางด้านเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย โดยเฉพาะด้านวิศวกรรมสมัยใหม่ และกลุ่มเทคโนโลยีสร้างความพลิกผัน (Disruptive Technology)

หากมองการทำงานตำแหน่งประธาธิบดีสมัยที่สองของเขา จะเห็นนโยบายหลายเรื่องนำไปสู่การก้าวกระโดดด้านเทคโนโลยีจีนหลายด้าน โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศ เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่า สินค้าจีนหลายแบรนด์ได้กลายเป็นผู้นำโลกด้านนี้ โดยเฉพาะกลุ่มโทรคมนาคม จีนกลายเป็นเจ้าตลาดรายใหญ่ มีบริษัทชั้นนำ ดังเช่น Huawei, ZTE, Xiaomi และ Oppo

จีนยังเป็นผู้นำตลาดอีคอมเมิร์ซ และมีกลุ่มบริษัทเทคโนโลยีใหม่ๆ อีกมากที่มาแข่งตลาดโลก ไม่ว่าจะเป็น Alibaba.com, Tencent และ Bytedance รวมถึงมีบริษัทผู้ผลิตอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ชั้นนำหลายราย เช่น Lenovo ผู้ผลิตเครื่องคอมพิวเตอร์ หรือ DJI ที่เป็นผู้ผลิตโดรนส่งออกไปทั่วโลก และมีบริษัทสตาร์ทอัพที่นำเทคโนโลยีเชิงลึก (Deep Tech) มาพัฒนาสินค้าบริการอีกหลายราย ทำให้ปัจจุบันมีบริษัทยูนิคอร์นในประเทศจีนมากถึง 312 บริษัท

นโยบายรัฐบาลจีน ด้านหนึ่งที่โดดเด่น คือ การตั้งเป้าหมายให้จีนเป็นผู้นำด้านอุตสาหกรรมเอไอ โดยมีเป้าหมายปี 2030 อุตสาหกรรมนี้จะมีมูลค่า 1 ล้านล้านหยวน (หรือ 154,638 ล้านดอลลาร์) ต่อปีและเทคโนโลยีเอไอ จะมีส่วนสร้างมูลค่าเพิ่มให้อุตสาหกรรมอื่นเป็นมูลค่าปีละ 10 ล้านล้านหยวน

จากการส่งเสริมตามนโยบายนี้ เห็นชัดว่าตลาดเอไอของจีน มีมูลค่าเพิ่มขึ้นมาก โดยปี 2021 มีมูลค่าถึง 150,000 ล้านหยวน และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 400,000 ล้านหยวนปี 2025 ซึ่งจีนนำเทคโนโลยีเอไอ ไปประยุกต์ใช้หลายด้าน ทั้งในโรงงานอุตสาหกรรม การแพทย์ หุ่นยนต์ และรถยนต์ไร้คนขับ ซึ่งบริษัทวิจัย McKinsey ประมาณการไว้ว่า อุตสาหกรรมเอไอ ทำให้เศรษฐกิจของจีนโตขึ้น 4.3 ล้านล้านหยวนต่อปี เท่ากับ 3.7% ของ GDP ประเทศ นอกจากนี้ บริษัทสตาร์ทอัพเอไอของจีนยังระดมทุนได้ถึง 121,000 ล้านหยวน

จีนมีการส่งเสริมอุตสาหกรรมเอไอในหลายๆ เมือง อาทิ นครเซินเจิ้นเป็นเมืองแรกที่ออกระเบียบการส่งเสริมธรรมาภิบาลการใช้เทคโนโลยีเอไอในงานด้านต่างๆ ที่ไม่มีความเสี่ยงมากนัก เช่น การใช้รถยนต์ไร้คนขับในที่สาธารณะบางพื้นที่ ทั้งนี้ปัจจุบันนครเซินเจิ้น เป็นเมืองที่เน้นทำอุตสาหกรรมด้าน รถยนต์ไร้คนขับ โดยมีบริษัทต่างๆ ถึง 1,200 บริษัท และมีมูลค่าถึง 106,600 ล้านหยวน ในปี 2021 และตั้งเป้าที่จะเพิ่มเป็น 200,000 ล้านหยวน ในปี 2025

นอกจากนี้ นครเซี่ยงไฮ้ เป็นอีกเมืองในจีนที่อุตสาหกรรมเอไอขยายตัวอย่างรวดเร็ว จะเห็นได้จากจำนวนผู้เชี่ยวชาญด้านเอไอที่เข้ามาทำงานเพิ่มขึ้นจาก 100,000 คน ในปี 2018 กลายเป็น 230,000 คน ในปี 2021

แต่อย่างไรก็ตาม การที่จีนจะก้าวมาเป็นผู้นำทางด้านนี้ ก็ได้พบกับอุปสรรคต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสงครามการค้ากับสหรัฐอเมริกา การพยายามที่จะกีดกันบริษัทเทคโนโลยีของจีนในการเข้ามาทำธุรกิจในประเทศตะวันตก รวมถึงล่าสุดเรื่องมาตรการควบคุมการส่งออกเซมิคอนดักเตอร์ชิปไปยังจีน โดยเฉพาะการห้ามส่งชิปที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงซึ่งมีความสามารถในการประมวลผลได้ดี เช่น ชิปรุ่น A100 ของNvidia และ MI250 ของ AMD

การควบคุมการส่งออกชิปที่มีประสิทธิภาพเหล่านี้ จะมีผลกระทบการพัฒนาอุตสาหกรรมด้านเอไอของจีนโดยตรง เพราะการพัฒนาระบบเอไอจะต้องใช้ชิปที่มีความสามารถประมวลผลที่มีประสิทธิภาพสูงมากๆ ซึ่งในปัจจุบันอุตสาหกรรมด้านเซมิคอนดักเตอร์ของจีน ยังตามหลังสหรัฐอยู่มาก และยังต้องพึ่งพาชิปที่นำเข้ามาจากต่างประเทศ นอกจากนี้อุตสาหรรมทางด้านนี้ของจีน ยังประสบปัญหาในการดำเนินธุรกิจพอสมควร ดังจะเห็นได้ว่ามีธุรกิจด้านเซมิคอนดักเตอร์ปิดกิจการไปถึง 3,470 บริษัท ตั้งแต่เดือนมกราคมที่ผ่านมา

นอกเหนือปัญหาเรื่องของสงครามการค้ากับสหรัฐอเมริกาแล้ว รัฐบาลจีนเองก็เริ่มออกระเบียบที่เข้มงวดกับบริษัทเทคโนโลยีในช่วงสองปีที่ผ่านมา ทั้งในเรื่องของการควบคุมการใช้ข้อมูล การควบคุมผูกขาดทางการค้าออนไลน์ การจะทำธุรกิจ FinTech ต่างๆ ทำให้บริษัทเทคโนโลยีใหญ่ ถูกควบคุมในการทำธุรกิจมากขึ้น อันมีผลให้การเติบโตของบริษัทกลุ่มเทคโนโลยีเหล่านี้เริ่มถดถอยลงในช่วงปีที่ผ่านมา

ดังนั้น การเข้าสู่ตำแหน่งผู้นำจีนของ ประธานธิบดี สีจิ้นผิง ในสมัยที่สาม แม้จะมีนโยบายที่มุ่งมั่นในการให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีชั้นนำเช่นเดิม และที่สำคัญเขาได้กล่าวในที่ประชุมสมัชชาใหญ่ของพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่ผ่านมาว่าจะเน้นการพึ่งตนเองทางด้านเทคโนโลยีมากขึ้น และหนึ่งในนั้นคงจะเน้นในเรื่องของการพัฒนาอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์

แต่ขณะเดียวกันรัฐบาลจีนยังมีมาตรการอันเข้มข้นในการควบคุมการดำเนินการของบริษัทเทคโนโลยีภายในประเทศ ประกอบกับรายชื่อ 7 ผู้นำสูงสุดของจีนที่ประกาศออกมา อาจไม่ใช่กลุ่มคนที่จะโน้มเอียงมาเอื้อทางบริษัทเทคโนโลยีหรือจะมาผ่อนคลายกฎระเบียบต่างๆ มากนัก ดังนั้นจึงไม่แปลกใจว่าเมื่อมีการประกาศรายชื่อผู้นำเหล่านี้ออกมา หุ้นบริษัทด้านเทคโนโลยีของจีนจึงตกลงไปอย่างมาก

แต่อย่างไรตามนโยบายการส่งเสริมอุตสาหกรรมด้านเทคโนโลยีต่างๆ ของผู้นำจีนยังมีความชัดเจน และความมุ่งมั่นในการเป็นผู้นำทางด้านอุตสาหกรรมเอไอยังคงอยู่ ดังนั้นประเทศจีนภายใต้การนำของประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ในสมัยที่สาม โดยเฉพาะการเน้นการพึงพาตัวเอง ก็คงยังทำให้จีนเป็นประเทศที่น่าจับตาในด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและเราอาจเห็นจีนแซงหหน้สประเทศอื่นๆ จนกลายเป็นเบอร์หนึ่งของโลกในอุตสาหกรรมทางด้านนี้ในอนาคตก็เป็นได้