ครบรอบ 10 ปี สายชาร์จ “Lightning” ถึงเวลาที่ “Apple” ต้องเปลี่ยน ?

ครบรอบ 10 ปี สายชาร์จ “Lightning” ถึงเวลาที่ “Apple” ต้องเปลี่ยน ?

ครบรอบ 10 ปี สายชาร์จ “Lightning” ของ “Apple” ที่ใช้จนถึง “iPhone 14” รุ่นล่าสุด แต่อาจจะไม่ได้ไปต่อ หลังจากสหภาพยุโรปออกกฎหมายให้ USB-C เป็นมาตรฐานกลางสำหรับการชาร์จอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์

ย้อนกลับไปในเดือนก.ย. 2555 “Apple Inc.” ยักษ์ใหญ่เทคโนโลยีของสหรัฐ ได้เปิดตัว iPhone 5 ที่มาพร้อมกับขนาดที่ใหญ่กว่า เร็วกว่า และทรงพลังที่สุดเท่าที่เคยมีมาในเวลานั้น และอีกสิ่งหนึ่งที่ฮือฮาไม่แพ้กันคือ สายชาร์จแบบ “Lightning” ที่มีขนาดเล็กกว่าสายชาร์จแบบเดิม ฟิล ชิลเลอร์ หัวหน้าฝ่ายการตลาดของ Apple ได้ประกาศบนเวทีว่า Lightning จะเป็น “อุปกรณ์เชื่อมต่อที่ทันสมัยสำหรับทศวรรษหน้า” และเป็นเช่นนั้นจริง ๆ เพราะไม่มีแบรนด์อื่นใช้เลย มีแต่ Apple ที่ยังคงใช้เรื่อยมากับ iPhone ทุกรุ่นจนถึงปัจจุบัน

Lightning ยังคงทำหน้าที่การชาร์จได้อย่างดี สามารถเสียบด้านใดก็ได้ เพราะเหมือนกันทั้ง 2 ด้าน และเล็กกว่า เมื่อเทียบกับอุปกรณ์เชื่อมต่อยอดนิยมในขณะนั้นอย่าง 30-pin dock และ Micro USB ที่เสียบได้ด้านเดียวและมีขนาดใหญ่เทอะทะกว่า แม้ว่าจะมีอายุ 10 ปีแล้ว แต่สายชาร์จนี้ยังคงถูกพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง จนปัจจุบันสามารถชาร์จแบตเตอรี่ iPhone จากที่แบตเตอรี่หมดเกลี้ยงขึ้นมาถึง 50% ในระยะเวลาเพียง 30 นาทีเท่านั้น อีกทั้งยังสามารถเชื่อมต่อไม่ต่างจาก USB 3.0 เลยทีเดียว แถมรองรับสัญญาณวิดีโอ 1080p ได้อีกด้วย

ดังนั้น Lightning ก็ไม่ได้มีประสิทธิภาพด้อยกว่าอุปกรณ์เชื่อมต่ออื่น ๆ แต่ปัญหาใหญ่ของมันคือ ขาดความเป็นสากล เพราะอุปกรณ์อื่น ไม่ว่าจะเป็นสมาร์ทโฟนฝั่งแอนดรอยด์ทุกแบรนด์ กล้อง GoPro เครื่องเล่นเกมคอนโซล ล้วนใช้สายชาร์จ USB-C กันทั้งนั้น แม้กระทั่ง iPad และ MacBook รุ่นใหม่ของ Apple เองก็ใช้ USB-C แล้วเช่นกัน นอกจาก iPhone แล้วก็มีอุปกรณ์เสริมเพียงไม่กี่ชนิดเท่านั้นที่ใช้สายชาร์จแบบ Lightning เช่น  Magic Mouse, Magic Keyboard, และ AirPods ซึ่งล้วนแล้วเป็นสินค้าของ Apple ทั้งสิ้น

เนื่องจากอุปกรณ์เชื่อมต่อแบบ Lightning เป็นนวัตกรรมที่คิดค้นโดย Apple นั่นเท่ากับว่า ผู้ผลิตสินค้าเทคโนโลยีที่ต้องการนำ Lightning ไปใช้ในผลิตภัณฑ์ของตนเอง จำเป็นต้องจ่ายค่าใบอนุญาตให้กับ Apple นอกจากนี้ ยังสามารถทำรายได้จากการขายสายชาร์จ Lightning ที่มีให้เลือกหลายขนาด และหลายหัวเชื่อมต่อ โดยมีราคาเริ่มต้นสุดมหัศจรรย์ที่ 790 บาท

นั่นหมายความว่า หากคุณใช้สินค้าทั้งของ Apple และ ฝั่งแอนดรอยด์ เช่น ใช้ iPhone กับ โน้ตบุ๊คที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Windows คุณก็จำเป็นต้องมีสายชาร์จ 2 ชนิด หรือแม้ว่าเจ้าของสินค้า Apple ทุกชนิดเองก็จำเป็นต้องใช้สายชาร์จ 2 ชนิดด้วยซ้ำไป เพราะพอร์ตเชื่อมต่อของอุปกรณ์เหล่านี้แตกต่างกันนั่นเอง

ปัจจัยเหล่านี้ทำให้ผู้ใช้งาน iPhone ส่วนใหญ่ก็อาจไม่ได้ปลื้มกับการต้องใช้สาย Lightning เพราะยุ่งยากในการพกพา ยิ่งเวลามีหลาย ๆ สายชาร์จรวมกัน ยิ่งทำให้พันกันอีรุงตุงนัง ยังไม่รวมถึงปัญหาสายเสื่อมอายุเร็ว แม้ใช้สายชาร์จ Lightning ไปนาน ๆ ตรงส่วนหัวชาร์จมักจะแตกง่าย ทำให้ต้องเสียเงินซื้อสายชาร์จใหม่อีก หลายคนลุ้นให้ Apple เลิกใช้สายชาร์จนี้เสียที และข่าวลือทุกปีว่า Apple จะเลิกใช้แล้ว แต่ก็ฝันสลายทุกที

ในงาน “Far Out” งานเปิดตัวสินค้าประจำปีของ Apple เมื่อวันที่ 7 ก.ย. ที่ผ่านมา ได้เปิดตัว “iPhone 14” “iPhone 14 Pro” และ “iPhone 14 Pro Max” มาพร้อมเทคโนโลยีสุดล้ำมากมาย กล้องถ่ายภาพและวิดีโอได้ดีขึ้น ประมวลผลได้เร็วยิ่งขึ้น ที่สำคัญใน iPhone 14 Pro และ iPhone 14 Pro Max ไม่มีรอยบากที่หน้าจอแล้ว ซึ่งยังคงใช้สายชาร์จแบบ Lightning แบบเดิม แต่หลังจากนี้ Lightning อาจจะไม่ได้ไปต่ออีกแล้ว

เดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา สหภาพยุโรป (อียู) ประกาศใช้กฎหมาย ให้พอร์ต USB-C เป็นมาตรฐานกลางสำหรับการชาร์จอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น สมาร์ทโฟน, แท็บเล็ต, หูฟัง และเครื่องเล่นเกมคอนโซล ภายในช่วงฤดูใบไม้ร่วงปี 2567 ด้วยกฎหมายดังกล่าว อาจทำให้ Apple จำเป็นต้องหันไปใช้ USB-C ในผลิตภัณฑ์ทั้งหมด รวมถึง iPhone 15 ที่จะเปิดตัวในเดือน ก.ย. 2566 เป็นเวลาก่อนเส้นตายการบังคับใช้กฎหมายดังกล่าวของอียู ซึ่งเป็นเวลาที่เหมาะสม เพราะต้องใช้ระยะการดำเนินการตามขั้นตอนเพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐาน ทำให้ iPhone 16 ที่จะเปิดตัวหลังจากการบังคับใช้กฎหมายของอียูสามารถขายต่อเนื่องได้ทันที

ส่วนบราซิลประกาศยกเลิกใบอนุญาตขาย iPhone ทุกรุ่นที่ไม่แถมที่ชาร์จมาให้ในกล่อง พร้อมสั่งปรับ Apple เป็นเงินกว่า 12 ล้านเรียล หรือราว 85 ล้านบาท เพราะเป็นการขายสินค้าไม่สมบูรณ์ และเป็นการผลักภาระให้แก่ผู้บริโภค ขณะที่ Apple พยายามยื่นอุทธรณ์ว่าการไม่แถมที่ชาร์จ ช่วยลดการใช้แร่สังกะสี และพลาสติกที่เป็นส่วนประกอบของที่ชาร์จ ทำให้ลดปริมาณคาร์บอนได้กว่า 2 ล้านตันต่อปี

แต่ในทางกลับกัน การที่ Apple ใช้ Lightning อยู่แบรนด์เดียว ขณะที่สมาร์ทโฟนแบรนด์อื่นใช้สายชาร์จ USB-C กันหมด สามารถลดจำนวนขยะอิเล็กทรอนิกส์จริงหรือไม่ เพราะนั่นเท่ากับเพิ่มภาระให้กับผู้บริโภคที่ต้องหาสายชาร์จมาเพื่อให้ใช้งานได้

สำหรับในประเทศไทย มีผู้บริโภคบางส่วนลงชื่อแคมเปญบนเว็บไซต์ Change.org ในชื่อ “ขอให้อุปกรณ์ของ Apple ที่จะวางขายในประเทศไทย มีที่ชาร์จรวมมาด้วย โดยไม่ผลักภาระให้ผู้บริโภค” โดยส่วนหนึ่งของคำอธิบายในแคมเปญนี้ระบุว่า “ในปัจจุบัน โทรศัพท์ของ Apple ยังใช้สายชาร์จแบบ Lightning ก็สะท้อนว่าแท้จริงแล้ว Apple เองต้องการผูกขาดทางการค้าและเพิ่มภาระให้ผู้บริโภคนั่นเอง” ซึ่งมีผู้ลงชื่อแล้วกว่า 4,200 คน (ข้อมูล ณ วันที่ 16 ก.ย. เวลา 20.00 น.) 

ขณะที่ สำนักข่าว Bloomberg รายงานว่า Apple เริ่มทำการทดสอบ iPhone กับระบบสายชาร์จแบบ USB-C ตั้งแต่เดือน พ.ค. ที่ผ่านมา ยิ่งตอกย้ำว่า iPhone 15 อาจจะมาพร้อมกับสายชาร์จ USB-C ปิดตำนาน สายชาร์จ Lightning หลังจากอยู่มานานถึง 10 ปี

อย่างไรก็ตาม ยังมีความเป็นไปได้ที่ Apple อาจจะขายผลิตภัณฑ์ USB-C เฉพาะในยุโรป และขายผลิตภัณฑ์ที่ใช้สาย Lightning ในพื้นที่อื่น ๆ ทั่วโลก แต่จะคุ้มค่ากับการลงทุนที่ต้องผลิตเครื่องทั้ง 2 แบบหรือไม่

แม้ว่าการเปลี่ยนสาย Lightning เป็น USB-C จะส่งผลดีต่อผู้บริโภคที่ไม่ต้องพกสายชาร์จมากมาย อีกทั้งยังสามารถชาร์จไฟได้เร็วกว่า Lightning ด้วย ที่สำคัญยังสามารถรับส่งข้อมูลระหว่างอุปกรณ์ได้รวดเร็วระหว่าง 5-10 Gbps ขึ้นอยู่กับสเป็กของเครื่อง และสามารถรับส่งข้อมูลด้วยความเร็วสูงสุดถึง 40 Gbps หาก iPhone รองรับ Thunderbolt 3 ซึ่งเร็วกว่า Lightning ที่โอนถ่ายข้อมูลได้เพียง 480 Mbps เท่านั้น อยู่หลายเท่าตัว

ถึงแม้ Apple ขึ้นชื่อว่าเป็นบริษัทผู้นำด้านเทคโนโลยีและมักจะแตกต่างกว่าผู้อื่นเสมอ แต่บางครั้งการทำเหมือนกับบริษัทเทคโนโลยีที่เหลือในตลาด เพื่อความสะดวกสบายของผู้ใช้งาน ก็ไม่ใช่เรื่องแย่เสมอไป




 

ที่มา: Bloomberg, Mashable, Tech Radar, The Verge