อว. ส่ง “ซินโครตรอนรุ่นใหม่” รักษามะเร็ง

อว. ส่ง “ซินโครตรอนรุ่นใหม่” รักษามะเร็ง

เอนก นำทีมนักวิจัยไทยร่วมมือกับ 2 สถาบันวิจัยสวิตเซอร์แลนด์ เดินหน้าสร้าง “เครื่องกำเนิดแสงซินโครตรอนรุ่นใหม่” ที่ระดับพลังงาน 3.0 GeV พร้อมต่อยอดการรักษามะเร็งด้วยอนุภาคโปรตรอนพลังงานสูง

ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รมว.การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) พร้อมด้วย ผอ.หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนากำลังคน และทุนด้านการพัฒนาสถาบันอุดมศึกษา การวิจัยและการสร้างนวัตกรรม (บพค) ผอ.สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ และ ผอ.สถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน พร้อมกับคณะผู้บริหาร และนักวิจัยของหน่วยงาน เดินทางศึกษาดูงาน ณ สถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน หรือ Swiss Light Source (SLS) ที่สวิตเซอร์แลนด์

โดย ดร.เอนก กล่าวว่า SLS เป็นเครื่องกำเนิดแสงซินโครตรอน ระดับพลังงานที่ 2.4 GeV ปัจจุบันได้รับการปรับปรุงประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น ให้มีความเข้มแสงมากขึ้นและประหยัดพลังงาน มีผู้ใช้งานจากภาคการศึกษาและอุตสาหกรรมจำนวนมาก มีผลงานชั้นนำมากมายอย่างต่อเนื่อง 

เช่น การค้นหาโครงสร้าง Spike protein ของไวรัสโควิด-19 หรือการถ่ายภาพ 3 มิติของเส้นประสาทในสมอง การพัฒนาเทคนิคการตรวจวัดแผงวงจรรวมระดับนาโนเมตร เป็นต้น

โดย SLS เป็นหน่วยงานของ Swiss Federation ที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีขนาดใหญ่ ที่ใช้ในการพัฒนากำลังคนชั้นสูงด้านแสงซินโครตรอนและการใช้ประโยชน์ มีนักศึกษาปริญญาเอกเข้ามาทำวิจัยมากกว่า 700 คน ต่อปี นับเป็นต้นแบบการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศได้เป็นอย่างดี

 

อว. ส่ง “ซินโครตรอนรุ่นใหม่” รักษามะเร็ง

 

การศึกษาดูงานในครั้งนี้ ทางคณะได้มีการประชุมเพื่อหารือแนวการสร้างความร่วมมือระหว่างสถาบันวิจัยด้านวิทยาศาสตร์หรือ Paul Scherrer Institute (PSI) และ SLS กับหน่วยงานทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศไทย

โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน หรือ สซ. ซึ่งในปัจจุบันกำลังดำเนินโครงการสร้างเครื่องกำเนิดแสงซินโครตรอนรุ่นใหม่ ที่ระดับพลังงาน 3.0 GeV 

โดยหลังจากนี้จะมีความร่วมมือที่มุ่งเน้นในเรื่องการถ่ายทอดเทคโนโลยี การพัฒนากำลังคน การสนับสนุนทุนวิจัย เป็นต้น นอกจากนี้ ยังหารือความร่วมมือทางวิชาการด้านการรักษามะเร็งด้วยอนุภาคโปรตรอนพลังงานสูง (Proton Beam Therapy) ระหว่าง PSI กับหน่วยงานวิจัยทางการแพทย์ของประเทศไทยในอนาคตอีกด้วย