เปิดข้อมูลย้ำ!!! "ผลกระทบ" ผู้บริโภค หลัง 'ควบรวมทรู-ดีแทค'

เปิดข้อมูลย้ำ!!! "ผลกระทบ" ผู้บริโภค หลัง 'ควบรวมทรู-ดีแทค'

ยังคงเป็นที่ถกเถียงจากหลายภาคส่วนว่า การควบรวมกิจการระหว่าง "ทรู-ดีแทค" จะส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมโทรคมนาคมจริงหรือไม่ ในมุมของผู้บริโภคจะได้รับประโยชน์จากการรวมธุรกิจหรือจะโดนผลกระทบกันแน่

เปิดมุมมองจากภาคประชาชนต่อดีลการควบรวมธุรกิจระหว่าง ทรู และ ดีแทค

1. ลดทางเลือกการใช้งานของลูกค้า

ลูกค้าจะเหลือค่ายมือถือให้เลือกเพียง 2 ค่าย หากในพื้นที่ใดทั้งสองค่าย ไม่ขยายช่องสัญญาณให้เพียงพอ ลูกค้าจะไม่มีค่ายที่ 3 ให้เป็นทางเลือก

2. ลูกค้าของทั้งสองราย ทรู ดีแทค จะต้องเจอประสบการณ์การใช้งานที่ไม่มีประสิทธิภาพ

ลูกค้า 4G ของทรูจะเข้าไปใช้คลื่น 2300 MHz ที่ดีแทคโรมมิ่งกับ บมจ.โทรคมนาคมแห่งชาติ (NT) ได้ไม่มาก เพราะบริษัทต้องจ่ายค่าโรมมิ่งเพิ่ม แต่ในทางกลับกัน ลูกค้าทรูจะถูกลูกค้าดีแทคแย่งใช้ความจุของคลื่น 2600 MHz ทำให้ 5G ของทรูมีสปีดช้าลง

3. ลดศูนย์บริการเพื่อปรับลดค่าใช้จ่าย

เมื่อควบรวมกันแล้วทั้งสองบริษัทจะลดค่าใช้จ่ายที่ซ้ำซ้อน ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ การปิดศูนย์บริการที่อยู่ในห้างเดียวกัน ทำให้ศูนย์บริการที่เหลืออยู่แออัดขึ้นกว่าเดิม

4. การดูแลลูกค้าที่จะเริ่มทำให้ลูกค้าสับสน

ลูกค้าดีแทคก็จะได้สัมผัสประสบการณ์มั่วบิล และการระดมส่ง SMS ขายของในเครือทรู ส่วนลูกค้าทรูก็ได้สัมผัสประสบการณ์ True Sphere ที่แออัดขึ้นกว่าเดิมสองเท่า

5. การแข่งขันด้านราคาจะลดลง

เพราะจำนวนลูกค้าของทั้งสองค่ายที่เหลืออยู่มีจำนวนพอๆกัน อิ่มตัวแล้วทั้งคู่ จึงไม่มีประโยชน์ที่จะตัดราคาแย่งลูกค้ากันอีก โปรโมชั่นถูกๆจะลดน้อยลง

6. นวัตกรรมใหม่ๆ สำหรับลูกค้าจะน้อยลง  จากเดิมที่มีการออกบริการใหม่ๆ ที่สร้างความแตกต่างไม่ซ้ำกัน 3 ค่าย เช่น   dtac call, True ID, AIS V-Avenue ก็จะเหลือการออกนวัตกรรมแข่งขันกันสร้างความแตกต่างเพียง 2 ค่าย

หากรายใหญ่ฮั้วทำค่าโทรพุ่ง120%

"ฉัตร คำแสง" ผู้อำนวยการ 101 PUB - 101 Public Policy Think Tank ศูนย์ความรู้นโยบายสาธารณะเพื่อการเปลี่ยนแปลง ระบุว่า จากการศึกษาพบว่า การควบรวมครั้งนี้ทำให้เกิดการกระจุกตัวของตลาดโทรคมนาคมสูงอย่างมาก ซึ่งจากเดิมในประเทศไทยมีผู้ผลิตผู้ประกอบการรายใหญ่ 3 รายได้แก่ก็คือ AIS True Dtac โดย AIS มีส่วนแบ่งตลาดประมาณ 46-47% True ราว 33%

ขณะที่ dtac ในประมาณ 18-20% และรายเล็กสุดคือบริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ NT อยู่ที่ 3% ซึ่งแปลว่าเมื่อเกิดการควบรวมของทรูกับดีแทคก็จะทำให้ส่วนแบ่งทางการตลาดขึ้นไปสูสีกับ AIS 

ดังนั้น จะทำให้การกระจุกตัวเพิ่มขึ้นโดยดัชนี HHI จะแสดงให้เห็นว่าหากเป็นตลาดที่ผูกขาดเพียงรายเดียวจะเป็น 100%

โดยค่าจะอยู่ที่ 10,000 แต่เมื่อใดที่ผู้แข่งขันเยอะขึ้นนั้น ค่าก็จะลดลงจนใกล้ศูนย์ซึ่งเท่ากับตลาดนั้นเกิดการแข่งขันที่เสรีอย่างที่สุด แต่หากมาดูว่าหลังจากเกิดการควบรวมของ True และ dtac ดัชนีจะเพิ่มขึ้นจาก 3,578 ไปที่ 4,823 เพิ่มขึ้นถึง 32.4% ถือเป็นการเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดในขณะที่สำนักงานกสทช.เคยระบุไว้ในกฎหมายว่า หากตลาดมีดัชนี HHI เกิน 2,500 ถือเป็นตลาดที่มีความอันตราย 

จากการใช้สูตรคำนวณทางเศรษฐกิจที่มีการคำนวณต้นทุนจึงได้ศึกษาปัจจัยที่อาจเกิดขึ้นโดยนำเรื่องครอบคลุมของโครงข่าย 3G 4G และ 5G มาทำเป็นแบบจำลองทางสถิติว่าหาก HHI เพิ่มจาก 3,578 จุดเป็น 4,737 จุด 

ทั้งนี้ เมื่อมอง จากราคาเฉลี่ยตามแพคเก็จที่มาหารกันตลาดประเทศไทยอยู่ที่ 220 บาทต่อเดือน แต่หากเมื่อมีการควบรวมธุรกิจกันนั้น ทำให้พบว่าหากมีการแข่งขันกันรุนแรงแม้จะเหลือเพียง 2 รายราคาค่าบริการก็ยังเพิ่มขึ้นราว 7-10% ราว 235-242 บาท

แต่ถ้าเกิดมีการแข่งขันกันตามปกติราคาที่เพิ่มขึ้นประมาณ 13-23% ราว 249-270 บาทแต่ในหาก 2 รายรู้สึกว่าพอใจกับจำนวนลูกค้ากับการแข่งขันที่เป็นอยู่จนไม่เกิดการแข่งขันกับมาร์เก็ต แชร์คนละ 50% และสามารถขึ้นราคาหรือฮั้วค่าบริการกันได้จะจะทำให้ค่าบริการเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวได้เลย ราว 66-120% คิดเป็นราคา 365-480 บาท 

ฉัตร บอกว่า ตัวประกาศกสทช.ปี 2561 แม้ว่าข้อ 5 จะเขียนว่า ให้การควบรวมนั้นเป็นการรายงานแต่ว่าถ้าพลิกประกาศฯมาอีกหน้าเดียว ในข้อ 9 คือระบุว่าการควบรวมต้องได้รับการอนุญาตจากกสทช.และข้อ 8 เขียนว่าการถือครองธุรกิจในบริการประเภทเดียวกันทั้งทางตรงทางอ้อมหรือผ่านตัวแทนโดยมีการซื้อหุ้นหรือเข้าถือครองหุ้นเกิน 10% ขึ้นไปจะทำไม่ได้เว้นแต่จะได้รับอนุญาตซึ่งถ้าเกิดการผูกขาด ลดหรือจำกัดการแข่งขันกสทช.มีอำนาจสั่งห้ามได้หรือว่าใช้การกำหนดมาตรการเฉพาะก็ได้ซึท่งมาตรการบังคับใช้ได้ประกาศฯ กสทช.ปี 2549 ปี 2561

โดยปี2561 มีเงื่อนไข 4 ข้อคือ 1.HHI เกิน 2,500 ซึ่งตรงนี้เห็นได้ชัดว่าเกินอยูาแล้ว 2.การควบรวมทำให้การกระจุกตัวเพิ่มขึ้นเกิน 100 จุดแต่ครั้งนี้คือเกิน 1,000 จุด 3. มีอุปสรรคในการเข้าสู่ตลาดของรายใหม่ที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ 4.การครอบครองโครงสร้างพื้นฐานเพิ่มขึ้นทั้งเสาและสถานีฐาน
 
ควบรวมเป็นบวกเฉพาะกับผู้ถือหุ้น

สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) เล่าว่า การควบรวมทรูกับ ดีแทคจะเป็นประโยชน์กับผู้ถือหุ้น ทรูและดีแทค เนื่องจากผู้เล่นในตลาดโทรศัพท์มือที่ลดจาก 3 ราย เหลือ 2 ราย แต่จะส่งผลเสียต่อผู้บริโภคและบุคคลอื่นๆที่เกี่ยวข้องเช่น ดีลเลอร์ และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องในหลายๆส่วน

ดังนั้น ไม่ว่าจะเรียกความร่วมมือทางธุรกิจที่เกิดขึ้นว่าอะไร นี่คือ การควบรวมกิจการ มีโครงสร้างกึ่งผูกขาดอยู่แล้วการควบรวมกิจการครั้งนี้จึงค่อนข้างอันตรายต่อการผูกขาดตลาด ผู้ได้อานิสงส์ หรือ ผลกระทบทางบวกจากเรื่องนี้ คือ ผู้ถือหุ้นของทั้งสองบริษัท บริษัทคู่แข่งที่ไม่ได้เกี่ยวกับการควบรวมกิจการ แต่มีราคาหุ้นเพิ่มสูงขึ้น

แม้แต่ "เอไอเอส" ที่ไม่ได้อยู่ในดีลควบรวมนี้ ราคาหุ้นก็พุ่งขึ้นอย่างมาก ดังนั้นด้วยเหตุผลทางเศรษฐศาสตร์ที่เมื่อควบรวมแล้ว จะทำให้เหลือผู้เล่นเพียงสองราย การแข่งขัน และตัดราคากันจะน้อยลงไปด้วย 

ส่วนผู้ได้รับผลด้านลบคือ ผู้บริโภค และคู่ค้าของผู้ให้บริการที่อาจจะมีอำนาจต่อรองลดลงธุรกิจสตาร์ทอัพ ที่คาดว่า จะได้รับการสนับสนุน การควบรวมจะทำให้ผู้สนับสนุนลดลงไปหนึ่งราย ส่วนรัฐบาล จะได้รับผลกระทบรายได้ลดลง ถ้ามีการประมูลคลื่นความถี่ ผู้เข้าประมูลลดลงรายได้ของรัฐย่อมลดลง ขณะที่ประชาชนจะต้องถูกเก็บภาษีเพิ่มขึ้นเพื่อไปทดแทนรายได้ของรัฐที่หายไป

ถัดมาคือระบบเศรษฐกิจไทย ผลของการควบรวมกิจการจะทำให้การเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจดิจิทัลของไทยมีต้นทุนสูงขึ้น การประกอบอาชีพ การค้าขายออนไลน์ การเรียนออนไลน์ ฯลฯ จะได้รับผลกระทบทั้งหมด

"ดีลการควบรวม ส่งผลให้ผู้ประกอบการทั้ง 3 รายได้ประโยชน์อย่างชัดเจน ดูได้จากราคาหุ้นของดีแทค ก้าวกระโดดขึ้น ตลอด 5 วันหลังจากประกาศวบรวมเมื่อปลายเดือรพ.ย.ปีที่ผ่านมาเพิ่มขึ้น 17% ขณะที่ ทรู หุ้นเพิ่มขึ้น 15% ไม่เว้นคู่แข่ง เอไอเอส ราคาหุ้นก็เพิ่มขึ้น 7.7% ด้วย แม้ไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรง กับการควบรวมกิจการ แปลว่า เมื่อมีการควบรวมกันแล้ว ตลาดจะเหลือผู้เล่นเพียง 2 ราย ผู้เล่น 2 ราย จะมีความจำเป็นที่แข่งขันกัน ตัดราคากัน โปรโมชั่นดีๆ บริการใหม่ๆ จะน้อยลงกว่าการที่มี 3 ราย ด้วยนัยนี้ เอไอเอสจึงได้ประโยชน์ไปด้วย แม้ไม่ใช่คนที่ไปควบรวม"

ถามว่าทำไมต้องห่วงการกระจุกตัว เพราะปัจจุบันระดับของการกระจุกตัวค่อนข้างสูงมาก ก่อนเกิดการควบรวม

อย่างไรก็ตาม ประธานทีดีอาร์ไอ ระบุด้วยว่า ในต่างประเทศมีเครื่องมือวัดการผูกขาดเชิงโครงสร้าง คือ ดัชนีการกระจุกตัว หรือ Herfindahl-Hirschman Index : HHI ซึ่งค่าสูงสุด10,000 คือ การผูกขาดรายเดียว

ขณะที่ การควบรวมที่เกิดขึ้นครั้งนี้ ส่งผลให้ดัชนี HHI ของธุรกิจโทรคมไทย อยู่ที่ 3,700 เพิ่มขึ้นมาที่ 5,012 จาก 3,659 หรือเพิ่มขึ้น 1,353 เรียกว่า เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดมหาศาล จนเกิดการกระจุกตัวในระดับอันตราย เป็นปัญหาใหญ่ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ที่ต้องพูดถึงในครั้งนี้

ทางออกที่ดีที่สุด คือ ต้องไม่อนุญาต 

นายสมเกียรติ เสนอทางออกกรณีการควบรวมทรูกับดีแทคในประเทศไทย ว่า มีทางออก 3 แนวทาง ได้แก่

แนวทางแรก ไม่อนุญาตให้ควบรวม และหาก ดีแทคจะออกจากประเทศไทยก็ให้ขายกิจการให้กับผู้ประกอบการรายอื่นๆที่ไม่ใช่เอไอเอสและทรู

แนวทางที่สอง อนุญาตให้ควบรวมฯ แต่ต้องกำหนดเงื่อนไขที่เข้มงวดมากและต้องเข้มข้นในทุกๆมิติให้บริษัทที่ควบรวมกันคืนคลื่นมาบางส่วนแล้วนำมาจัดสรรใหม่ เพื่อให้มีผู้ประกอบการ 3 ราย ในตลาดโทรศัพท์มือถือ และ

แนวทางที่สาม อนุญาตให้ควบรวมกันได้ และส่งเสริมให้การผู้ให้บริการเครือข่ายเสมือน (MVNO) ซึ่งเป็นผู้ให้บริการที่ไม่มีโครงข่ายฯของตัวเอง แต่ทางเลือกนี้ ไม่ใช่ข้อเสนอที่เหมาะสมนัก เพราะ MVNO ไม่ได้เกิดง่าย และการดูแลจะยากมาก ดังนั้น จึงต้องป้องกันไม่ให้มีการผูกขาด เพราะหากปล่อยให้มีการผูกขาดแล้วไปแก้ไขในภายหลังจะยากมาก

“ตลาดโทรศัพท์มือถือในยุโรป จะไม่ยอมให้ควบรวมกันเหลือ 3 ราย แล้วมาเหลือ 2 ราย แม้กระทั่งสิงคโปร์ ซึ่งตลาดเล็กๆขนาดนั้นยังมีผู้ประกอบการมากกว่า 3 ราย แล้วทำไมไทยจะรองรับ 3 รายไม่ได้ ดังนั้น ข้อเสนอที่ดีที่สุด คือ ต้องไม่ให้มีการควบรวม หากดีแทคจะออกจากตลาดไทย ก็ให้ขายให้ผู้ประกอบการรายอื่นที่ไม่ใช่เอไอเอสและทรูอีกทั้งเพื่อให้ตลาดมีการแข่งขัน มีต้นทุนลดลง จะต้องลดต้นทุนโครงสร้างพื้นฐาน ให้ใช้โครงข่ายร่วมกัน” นายสมเกียรติ ระบุ
 
หวั่นอุตฯผูกขาดเหมือนค้าปลีก 

"วิศรุต ครุฑไกรวัล" กรรมาธิการ สคบ สภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่า เรื่องนี้มีความสำคัญ ซึ่งทุกคนต้องใช้โทรศัพท์ในการสื่อสารในเรื่องต่างๆ การควบรวมกิจการจะทำให้ประชาชนได้ประโยชน์อะไร ประเทศได้ประโยชน์อะไร จุดประสงค์สำคัญในเรื่องของการควบรวมครั้งนี้เกี่ยวข้องกับคลื่นความถี่ของรัฐ เราจึงต้องมองผลประโยชน์ของประเทศ

"ผมว่ามันไม่สมควรที่เอกชนจะมาใช้ประโยชน์จากเรื่องนี้ในการควบรวม จะทำให้เกิดการแข่งขันที่น้อยลง ผูกขาดตลาด อย่างเรื่อง ซีพี โลตัส ก็เข้ามาลงทุนในค้าปลีกที่กระทบต่อต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ มีอิทธิพล ต่อตลาดในทุกมิติ ปิดกั้นการเติบโตของผู้ประกอบการรายเล็ก รายใหญ่ เพราะจะเป็นคู่แข่งในอนาคต เพราะฉะนั้นต้องมองก่อนว่าประชาชนจะได้รับประโยชน์อะไร จะมีผลต่อการกำหนดราคา การแข่งขัน การชี้นำตลาด ตกไปอยู่กับรายใหญ่หรือไม่ วันนี้การขยายเครือข่ายต้องใช้ต้นทุนสูง กว่าจะคุ้มทุน เขาก็อาจจะไม่ลงทุนขยายแล้วหรือขยายช้า เพราะมีคู่แข่งแค่สองราย ต่างจากการมีหลายรายที่ต้องแข่งขัน มีผลกระทบทั้งกับธุรกิจหน้าใหม่ และประชาชน ที่เป็นรูปธรรมเห็นได้อย่างชัดเจน เช่น กล้วยในเซเว่น ลูกละ 8 บาท เพราะเค้าไปกว้านซื้อในตลาดมาขาย เขามีอำนาจ การควบรวมต้องเป็นธรรมกับผู้บริโภคด้วย ฝากท่านที่มีความรู้และมีอำนาจตัดสินใจบนประโยชน์ของประชาชน และประเทศ ไม่ไห้เกิดการผูกขาด”

หวั่นค่าบริการเพิ่มเฉลี่ยมากถึง30%

ขณะเดียวกัน ผลศึกษาของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งสำนักงาน กสทช.ได้ว่าจ้างให้ดำเนินการศึกษาเพิ่มเดิมล่าสุด มีการรายงานเป็นเอกสารยืนยันเช่นกันว่า หากผู้เล่นในตลาดลดลงจาก 3 รายเหลือเพียง 2 ราย โดยทั้ง 2 รายเป็นรายใหญ่ที่มีส่วนแบ่งทางการตลาดเกินกว่า45% ก็มีความเป็นไปได้ว่า ค่าบริการในระยะยาวจะแพงขึ้น 20-30% เพราะผู้บริโภคไม่มีทางเลือกในการใช้งาน

ก่อนหน้านี้ ผู้บริโภคได้บทเรียนอันบอบช้ำจากการที่หน่วยงานกำกับดูแลการแข่งขันทางการค้าได้ปล่อยให้มีการควบรวมธุรกิจค้าปลีก- ค้าส่งรายใหญ่ของประเทศ จนทำให้กลุ่มทุนยักษ์ค้าปลีก-ค้าส่งของประเทศสามารถกุมอำนาจเหนือตลาดได้อย่างเบ็ดเสร็จ ตั้งแต่ตันน้ำยันปลายน้ำ ทำให้ปัจจุบันประชาชนคนไทยต้องเผชิญกับปัญหาวิกฤติราคาสินค้าข้าวของแพงทั้งแผ่นดินเพราะตลาดค้าปลีก-ค้าส่งถูกผูกขาดปราศจากการแข่งขัน