‘อะโดบี’ เปิดความท้าทาย วิถีใหม่ ‘ไฮบริด เวิร์คกิ้ง’

‘อะโดบี’ เปิดความท้าทาย วิถีใหม่ ‘ไฮบริด เวิร์คกิ้ง’

รายงานวิจัยของ “อะโดบี” เผยว่า มากกว่า 70% ของพนักงานและผู้จัดการพบว่าการเข้าถึงเครื่องมือดิจิทัลที่ทันสมัยเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยลดอัตราการลาออกระลอกใหญ่ “Great Resignation”

ทอดด์ เกอร์เบอร์ รองประธานฝ่ายการตลาดผลิตภัณฑ์ Adobe Document Cloud เปิดมุมมองว่า การทำงานจากที่บ้านในช่วงสองปีที่ผ่านมานับเป็นเรื่องท้าทายอย่างมาก แต่จะเป็นเรื่องยากมากยิ่งขึ้นหากไม่สามารถเข้าถึงเครื่องมือที่รองรับการทำงาน การติดต่อสื่อสาร และการทำงานร่วมกันผ่านการเชื่อมต่อระยะไกล

รายงานฉบับล่าสุดของอะโดบีที่มีชื่อว่า “The Future of Time: Hybrid Workplace” ได้เจาะลึกถึงปัญหา ความท้าทาย และโอกาสของการทำงานในโลกยุคใหม่

โดยพบว่า ขณะที่องค์กรต่างๆ เปลี่ยนรูปแบบการทำงานแบบเวิร์คฟรอมโฮมไปสู่การทำงานแบบไฮบริด เทคโนโลยีมีความสำคัญมากขึ้นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน 

ทรานส์ฟอร์มสู่ 'การทำงานไฮบริด'

แน่นอนว่าการเปลี่ยนแปลงย่อมมาพร้อมกับปัญหาท้าทาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องที่เกี่ยวกับเทคโนโลยี พนักงานและผู้จัดการที่ทำงานแบบไฮบริด มีการแบ่งเวลาสำหรับการทำงานที่บ้านและที่ออฟฟิศ ระบุว่า ตนเองใช้เวลาประมาณ 5-7 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ในการติดตั้งหรือแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับเทคโนโลยี 

เมื่อถามว่าอะไรคือปัญหาท้าทายที่สำคัญที่สุดในการเปลี่ยนย้ายไปสู่การทำงานแบบไฮบริด พนักงานเกือบ 70% ตอบว่า “เทคโนโลยี”

แม้ว่าเทคโนโลยีจะก่อให้เกิดอุปสรรคบางประการ แต่ขณะเดียวกันก็มีบทบาทสำคัญอย่างมากในการแก้ไขปัญหาเรื่องประสิทธิภาพการทำงานที่องค์กรต่างๆ ต้องเผชิญ 

จากการสำรวจพบว่า พนักงานจำนวนมากเชื่อว่าการทำงานแบบไฮบริดไม่อาจเกิดขึ้นได้ถ้าหากไม่มีเครื่องมือดิจิทัลที่ทันสมัย โดย 3 ใน 4 คนระบุว่าการเข้าถึงเครื่องมือดิจิทัลก่อให้เกิดผลดีต่อการทรานส์ฟอร์มไปสู่รูปแบบการทำงานไฮบริด

มิติใหม่ ‘โลกการทำงาน’

อะโดบีชี้ว่า เทคโนโลยีที่ดีกว่าจะช่วยลดช่องว่างในการมีส่วนร่วมของพนักงาน-ผู้จัดการ ขณะที่หลายๆ บริษัทเริ่มออกนโยบายการกลับเข้าทำงานในออฟฟิศ ผู้จัดการและพนักงานมีความเห็นที่แตกต่างกันเกี่ยวกับพัฒนาการล่าสุด และเมื่อตรวจสอบลึกลงไป พบว่า “เทคโนโลยี” เป็นปัจจัยที่ช่วยอธิบายความเห็นที่แตกต่างกันของผู้จัดการและทีมงาน 

กล่าวคือ พนักงาน 1 ใน 3 รู้สึกว่าตนเองไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็มที่ เพราะผู้จัดการใช้เทคโนโลยีที่ล้าสมัยหรือมีปัญหาในการใช้เครื่องมือที่ทันสมัยในการทำงานร่วมกัน และมีเพียง 1 ใน 2 เท่านั้นที่รู้สึกว่าผู้จัดการของตนเองมีความชำนาญในเรื่องเทคโนโลยีในระดับหนึ่ง ที่จริงแล้วพนักงานจำนวนมากระบุว่าระบบที่ไร้ประสิทธิภาพในแง่ของเทคโนโลยีส่งผลให้พนักงานต้องใช้เวลามากขึ้นในการทำงาน ขณะที่ประสิทธิภาพการทำงานลดน้อยลง

ส่วนประเด็นที่ผู้จัดการและพนักงานมีความเห็นสอดคล้องกันก็คือ แนวคิดที่ยืดหยุ่นและมุ่งเน้นดิจิทัลเป็นหลักจะช่วยเสริมศักยภาพให้แก่ทีมงานได้อย่างแท้จริง

“บริษัทจำเป็นที่จะต้องตระหนักว่าไม่มีโซลูชั่นแบบครอบจักรวาลที่สามารถใช้ได้กับทุกสถานการณ์ ทางที่ดีผู้บริหารควรจะรับฟังความเห็นจากพนักงานเพื่อให้เข้าใจว่าอะไรคือเครื่องมือที่จะช่วยเสริมศักยภาพให้แก่พนักงานได้มากที่สุด รวมไปถึงรูปแบบการทำงานที่เหมาะกับออฟฟิศนั้นๆ”

'เปลี่ยน' ก่อนสายเกินไป

สำหรับความเหลื่อมล้ำทางด้านเทคโนโลยียังคงเป็นปัจจัยที่กระตุ้นให้พนักงานจำนวนมากลาออก จากการสำรวจพบว่า พนักงาน 72% และผู้จัดการ 88% ระบุว่า การเข้าถึงเครื่องมือดิจิทัลที่ทันสมัยเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับการประเมินตำแหน่งงานใหม่ 

นอกจากนี้ยังพบว่า พนักงาน 61% รู้สึกเหนื่อยล้าและหมดไฟในการทำงานเนื่องจากการลาออกของคนในทีม และความรู้สึกดังกล่าวยิ่งเพิ่มสูงขึ้นในกลุ่มพนักงานที่ไม่สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีที่ทันสมัย 

ยิ่งไปกว่านั้น พนักงาน 1 ใน 3 คนระบุว่า ตนเองอาจจะหางานใหม่ในปีหน้า ด้วยเหตุนี้บริษัทต่างๆ จึงควรอัพเกรดเทคโนโลยีที่มีอยู่เพื่อปรับเปลี่ยนสถานที่ทำงานให้เป็นแบบไฮบริดอย่างเหมาะสม และช่วยให้ทุกคนทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นไม่ว่าจะอยู่ที่ใดก็ตาม ที่สำคัญก็คือ บริษัทควรเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงในทันทีก่อนที่จะสายเกินไป