จัดอันดับคุณภาพน้ำทะเลชายฝั่ง-แหล่งน้ำผิวดิน ในไทยปี 2568

กรมควบคุมมลพิษ (คพ.) เผยผลสำรวจคุณภาพน้ำปี 2568 โดยภาพรวมทั้งน้ำทะเลชายฝั่งและแหล่งน้ำผิวดินส่วนใหญ่อยู่ในเกณฑ์พอใช้ถึงดี
KEY
POINTS
- กรมควบคุมมลพิษ (คพ.) เผยผลสำรวจคุณภาพน้ำปี 2568 โดยภาพรวมทั้งน้ำทะเลชายฝั่งและแหล่งน้ำผิวดินส่วนใหญ่อยู่ในเกณฑ์พอใช้ถึงดี
- "อ่าวสะพลี จ.ชุมพร" ถูกจัดอันดับให้มีคุณภาพน้ำทะเลดีที่สุดในประเทศ ขณะที่พื้นที่เสื่อมโทรมมากที่สุดคือบริเวณปากแม่น้ำเจ้าพระยา จ.สมุทรปราการ
- สำหรับแหล่งน้ำผิวดิน "แม่น้ำเพชรบุรีตอนบน" มีคุณภาพดีที่สุด และจากการสำรวจไม่พบแหล่งน้ำใดที่อยู่ในเกณฑ์เสื่อมโทรมมาก
กรมควบคุมมลพิษ (คพ.) เผยรายงานสถานการณ์คุณภาพน้ำของประเทศไทยประจำปี 2568 พบข่าวดีว่า ทั้งน้ำทะเลชายฝั่งและแหล่งน้ำผิวดินทั่วประเทศส่วนใหญ่ยังอยู่ในเกณฑ์ “พอใช้ถึงดี” โดยมีแนวโน้มทรงตัวหรือดีขึ้นเล็กน้อยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา สะท้อนความคืบหน้าในการเฝ้าระวังและบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของประเทศ แม้ยังมีบางพื้นที่ที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด
นายสุรินทร์ วรกิจธำรง อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ เปิดเผยว่า ในปี 2568 คพ. ได้ติดตามตรวจสอบคุณภาพน้ำทะเลชายฝั่งทั่วประเทศจำนวน 210 จุด ครอบคลุมพื้นที่การใช้ประโยชน์ตามมาตรฐานคุณภาพน้ำทะเล 6 ประเภท โดยใช้ดัชนีคุณภาพน้ำทะเล (Marine Water Quality Index: MWQI) เป็นตัวชี้วัดหลัก
ผลการประเมินพบว่า คุณภาพน้ำทะเลชายฝั่งอยู่ในเกณฑ์ดีร้อยละ 31 อยู่ในเกณฑ์พอใช้ร้อยละ 60 ขณะที่พื้นที่ซึ่งมีคุณภาพน้ำอยู่ในเกณฑ์เสื่อมโทรมและเสื่อมโทรมมากรวมกันยังมีอยู่ราวร้อยละ 9
เมื่อจัดอันดับพื้นที่ที่มีคุณภาพน้ำทะเลดีที่สุด 10 แห่งของประเทศ ได้ผลลัพธ์ดังนี้
- อันดับ 1 อ่าวสะพลี จ.ชุมพร
- อันดับ 2 อ่าวบ่อม่วง จ.กระบี่
- อันดับ 3 หาดคลองดาว จ.กระบี่
- อันดับ 4 หาดทุ่งวัวแล่น จ.ชุมพร
- อันดับ 5 บ้านคลองนิน เกาะลันตา จ.กระบี่
- อันดับ 6 หาดริ้น เกาะพะงัน จ.สุราษฎร์ธานี
- อันดับ 7 หาดท้ายเหมือง จ.พังงา
- อันดับ 8 หาดละไม เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี
- อันดับ 9 เกาะไก่ จ.กระบี่
- อันดับ 10 อ่าวบางสน จ.ชุมพร
ขณะเดียวกัน คพ. ระบุพื้นที่ที่มีคุณภาพน้ำทะเลเสื่อมโทรมมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่
- ปากแม่น้ำเจ้าพระยา จ.สมุทรปราการ
- ปากคลอง 12 ธันวา จ.สมุทรปราการ
- โรงงานฟอกย้อม กม.35 จ.สมุทรปราการ
- บางขุนทียน กรุงเทพมหานคร
- ปากแม่น้ำท่าจีน จ.สมุทรสาคร
สำหรับแนวโน้มคุณภาพน้ำทะเลชายฝั่งในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ระหว่างปี 2559–2568 พบว่าโดยรวมค่อนข้างคงที่ โดยพื้นที่ฝั่งอันดามันยังคงมีคุณภาพดีที่สุดอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ปัญหาหลักที่ยังพบคือปริมาณสารอาหารและแบคทีเรียที่อยู่ในระดับสูงในบางพื้นที่ ซึ่งอาจเป็นปัจจัยกระตุ้นให้เกิดปรากฏการณ์น้ำทะเลเปลี่ยนสีได้บ่อยครั้งขึ้น หากไม่มีการควบคุมและจัดการอย่างเหมาะสม
นอกจากนี้ คพ. ยังได้รายงานผลการตรวจสอบคุณภาพน้ำในแหล่งน้ำผิวดินที่สำคัญทั่วประเทศ จำนวน 363 จุดตรวจวัด ครอบคลุมแหล่งน้ำสายหลัก 59 แหล่งน้ำ และแหล่งน้ำนิ่ง 6 แหล่งน้ำ โดยอ้างอิงผลการตรวจวัด 3 ครั้ง ในช่วงเดือนมกราคมถึงกันยายน 2568 ผลการประเมินดัชนีคุณภาพน้ำแหล่งน้ำผิวดิน (Water Quality Index: WQI) พบว่า แหล่งน้ำอยู่ในเกณฑ์ดีร้อยละ 40 อยู่ในเกณฑ์พอใช้ร้อยละ 46 และอยู่ในเกณฑ์เสื่อมโทรมร้อยละ 14 โดยไม่พบแหล่งน้ำใดที่อยู่ในเกณฑ์เสื่อมโทรมมาก
ผลการจัดอันดับแหล่งน้ำผิวดินที่มีคุณภาพน้ำดีที่สุด 10 อันดับแรก ได้แก่
- 1. แม่น้ำเพชรบุรีตอนบน
- 2. แม่น้ำตาปีตอนบน
- 3. แม่น้ำอูน
- 4. ทะเลสาบหนองหาร
- 5. แม่น้ำพุมดวง
- 6. แม่น้ำสงคราม
- 7. แม่น้ำแควน้อย
- 8. แม่น้ำหลังสวนตอนบน
- 9. แม่น้ำเลย
- 10. แม่น้ำพอง
จากการติดตามตรวจสอบคุณภาพน้ำในแหล่งน้ำผิวดินอย่างต่อเนื่องตลอด 10 ปีที่ผ่านมา คพ. พบว่า ภาพรวมมีแนวโน้มดีขึ้นเล็กน้อย แหล่งน้ำส่วนใหญ่อยู่ในเกณฑ์พอใช้ถึงดี และไม่พบแหล่งน้ำที่มีคุณภาพน้ำอยู่ในเกณฑ์เสื่อมโทรมมาก ซึ่งสะท้อนถึงความก้าวหน้าในการเฝ้าระวัง การฟื้นฟู และการบริหารจัดการคุณภาพน้ำของประเทศ อันเป็นผลจากความร่วมมือของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ภาคเอกชน ชุมชน และประชาชนในหลายพื้นที่
นายสุรินทร์ กล่าวย้ำว่า กรมควบคุมมลพิษยังคงให้ความสำคัญกับการติดตามตรวจสอบคุณภาพน้ำอย่างสม่ำเสมอ เพื่อใช้เป็นฐานข้อมูลในการวางแผน กำหนดมาตรการ และสนับสนุนการบริหารจัดการคุณภาพน้ำทั้งในระดับพื้นที่และระดับประเทศ ควบคู่กับการส่งเสริมความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการดูแลรักษาแหล่งน้ำสาธารณะ การจัดการน้ำเสียอย่างเหมาะสม และการใช้ทรัพยากรน้ำอย่างรู้คุณค่า
ท้ายที่สุด คพ. ขอเชิญชวนประชาชน หน่วยงานรัฐ และภาคเอกชน ร่วมกันตระหนักถึงความสำคัญของการใช้ทรัพยากรน้ำและการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ อย่างรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม โดยคำนึงถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อคุณภาพน้ำทั้งแหล่งน้ำผิวดินและน้ำทะเลในระยะยาว เพื่อร่วมกันยกระดับและรักษาคุณภาพแหล่งน้ำของประเทศให้เหมาะสมต่อการใช้ประโยชน์และเกิดความยั่งยืนต่อไปในอนาคต







