เปิดแฟ้มสิ่งแวดล้อมไทย 2568 วาระร้อนที่ไม่จบ และโจทย์ใหญ่ต้องจับตาปี 2569

เปิดแฟ้มสิ่งแวดล้อมไทย 2568 วาระร้อนที่ไม่จบ และโจทย์ใหญ่ต้องจับตาปี 2569

ปี 2568 สะท้อนความเปราะบางของระบบกำกับดูแลสิ่งแวดล้อมไทย ขณะที่ปี 2569 จะเป็นจุดชี้ขาดว่า ประเทศจะเลือกการพัฒนาที่คำนึงถึงประชาชนและธรรมชาติ หรือเดินหน้าซ้ำรอยความขัดแย้งเดิม

KEY

POINTS

  • MOU แร่ธาตุสำคัญ ไทย–สหรัฐฯ ดีลลับ ขาดการมีส่วนร่วม เสี่ยงกระทบสิ่งแวดล้อม ต้องจับตาว่าจะเดินหน้าต่อในปี 2569 หรือไม่
  • แลนด์บริดจ์ เมกะโปรเจกต์ถูกตั้งคำถามเรื่องผลกระทบ ความคุ้มค่า และความโปร่งใส
  • SEC ภาคใต้ เสี่ยงเปลี่ยนพื้นที่เป็นฐานอุตสาหกรรมใหม่ เพิ่มความเสี่ยงมลพิษ
  • โรงไฟฟ้าบูรพาพาวเวอร์ ไฟฟ้าล้นระบบแต่ยังสร้างเพิ่ม ดันค่าไฟสูง พึ่ง LNG นำเข้า
  • โรงไฟฟ้าขยะ ปัญหาตั้งในเขตชุมชน จากคำสั่ง คสช. ยังถูกคัดค้านต่อเนื่อง
  • คดี SLAPP ฟ้องปิดปากนักเคลื่อนไหวสิ่งแวดล้อมเพิ่มขึ้น คดีสำคัญยังไม่จบ
  • การเมืองกับสิ่งแวดล้อม นโยบายยังถูกมองข้าม ทั้งที่ปัญหาทวีความรุนแรง
  • Climate Change ภัยพิบัติถี่และหนักขึ้น จำเป็นต้องปรับตัวอย่างจริงจัง

ปี 2568 ถูกบันทึกไว้ว่าเป็นอีกหนึ่งปีหัวเลี้ยวหัวต่อของประเด็นสิ่งแวดล้อมไทย เมื่อความขัดแย้งระหว่าง “การพัฒนา” กับ “สิทธิของประชาชนและการคุ้มครองทรัพยากร” ปะทุขึ้นในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ มูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม (EnLAW) ได้สำรวจและรวบรวมประเด็นสิ่งแวดล้อมสำคัญแห่งปี ซึ่งไม่เพียงสะท้อนปัญหาในปัจจุบัน แต่ยังเป็นสัญญาณเตือนถึงความเสี่ยงที่อาจทวีความรุนแรงต่อเนื่องไปถึงปี 2569

ดีลลับ MOU แร่ธาตุสำคัญ

หนึ่งในประเด็นที่สร้างแรงสั่นสะเทือนมากที่สุด คือการลงนาม บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านแร่ธาตุสำคัญ ระหว่างรัฐบาลไทยกับสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2568 การลงนามครั้งนี้ถูกตั้งคำถามอย่างหนัก เนื่องจากเป็นการตกลงกันในระดับผู้นำประเทศ ระหว่างนายอนุทิน ชาญวีรกุล นายกรัฐมนตรีไทย และประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา โดนัลด์ ทรัมป์ โดยปราศจากการเปิดเผยรายละเอียดต่อสาธารณะ ไม่มีการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชน และยิ่งไปกว่านั้น เวทีที่ใช้ลงนามยังไม่ใช่เวทีที่จัดขึ้นเพื่อ MOU ดังกล่าวโดยตรง หากแต่เป็นการลงนามบันทึกถ้อยแถลงระหว่างไทย-กัมพูชา ณ ประเทศมาเลเซีย ทำให้ MOU แร่ธาตุสำคัญ “โผล่” ขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

แม้รัฐบาลจะอธิบายว่า MOU นี้มุ่งพัฒนาห่วงโซ่อุปทานแร่สำคัญ แต่ภาคประชาชนตั้งข้อสังเกตว่า ความร่วมมือดังกล่าวอาจเป็นเพียงเครื่องมือในการลดการพึ่งพาจีนของมหาอำนาจ โดยประเทศไทยอาจต้องแบกรับต้นทุนด้านสิ่งแวดล้อม สุขภาพ และทรัพยากร ขณะที่ผลประโยชน์กลับตกอยู่กับประเทศคู่เจรจามากกว่า ข้อเรียกร้องให้ยุติ MOU นี้จึงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และคำถามสำคัญคือ ในปี 2569 รัฐบาลจะเดินหน้าต่อ หรือทบทวนความร่วมมือที่ไร้การมีส่วนร่วมนี้หรือไม่

แลนด์บริดจ์ เมกะโปรเจกต์ที่ยังไร้คำตอบ

โครงการ แลนด์บริดจ์ ที่หวังเชื่อมอ่าวไทยกับทะเลอันดามัน ผ่านท่าเรือน้ำลึก ระบบราง มอเตอร์เวย์ และท่อก๊าซ ระยะทางกว่า 109 กิโลเมตร ครอบคลุมจังหวัดระนองและชุมพร ยังคงเป็นประเด็นร้อนตลอดปี 2568 เสียงวิพากษ์วิจารณ์จากประชาชน นักวิชาการ และภาคประชาสังคม ไม่ได้จำกัดเพียงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจ ความโปร่งใสของข้อมูล และผลกระทบต่อวิถีชีวิตของชุมชนในพื้นที่

คำถามที่ยังค้างคา คือ โครงการขนาดมหาศาลนี้ถูกออกแบบมาเพื่อใคร และใครคือผู้แบกรับความเสี่ยง หากการตัดสินใจยังคงเดินหน้าโดยไม่ฟังเสียงผู้ได้รับผลกระทบ ปี 2569 อาจเป็นปีที่ความขัดแย้งทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น

SEC และการขยายอุตสาหกรรมภาคใต้

ร่าง พ.ร.บ. ระเบียงเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ (SEC) เป็นอีกหนึ่งกฎหมายที่ EnLAW ชี้ว่ามีความเสี่ยงสูง หากถูกผลักดันโดยไม่รอบคอบ กฎหมายฉบับนี้เปิดทางให้นักลงทุนเข้ามาลงทุนในพื้นที่ 4 จังหวัดหลัก ได้แก่ ชุมพร ระนอง สุราษฎร์ธานี และนครศรีธรรมราช โดยสามารถขยายพื้นที่เพิ่มเติมได้ในอนาคต

ความกังวลคือ ภาคใต้ซึ่งเคยเป็นพื้นที่เกษตร ประมง และทรัพยากรธรรมชาติ อาจกลายเป็นฐานอุตสาหกรรมใหม่ พร้อมความเสี่ยงด้านมลพิษที่ประชาชนต้องเผชิญ โดยไม่มีหลักประกันว่าระบบกำกับดูแลจะเข้มแข็งเพียงพอ

โรงไฟฟ้าใหม่ กับค่าไฟที่แพงขึ้น

กรณี โรงไฟฟ้าบูรพาพาวเวอร์ ในจังหวัดฉะเชิงเทรา สะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างด้านพลังงานของไทยอย่างชัดเจน ทั้งที่ประเทศมีไฟฟ้าสำรองล้นระบบถึง 40-50% แต่ยังมีแผนสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ ซึ่งหมายถึงภาระค่าใช้จ่ายที่ประชาชนต้องแบกรับเพิ่ม

ยิ่งไปกว่านั้น โรงไฟฟ้านี้ใช้ก๊าซ LNG ที่ต้องนำเข้าทั้งหมด ส่งผลให้ไทยพึ่งพาพลังงานจากต่างประเทศ และปล่อยก๊าซเรือนกระจกตลอดทั้งห่วงโซ่ ตั้งแต่การขุดเจาะ ขนส่ง จนถึงการเผาไหม้ ขณะที่กระบวนการอนุมัติโครงการกลับเดินหน้าเร็วกว่าการรับฟังเสียงชุมชน

โรงไฟฟ้าขยะ มรดกคำสั่ง คสช. ที่ยังหลอกหลอน

คำสั่งหัวหน้า คสช. 4/2559 ยังคงส่งผลมาถึงปัจจุบัน เปิดทางให้ตั้งโรงไฟฟ้าและโรงงานขยะในพื้นที่ที่ผังเมืองเดิมไม่อนุญาต แม้รัฐบาลจะเปลี่ยนผ่าน แต่ปัญหาการตั้งโรงไฟฟ้าขยะในเขตชุมชนยังเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า นำไปสู่การคัดค้านและร้องเรียนจากประชาชนที่กังวลต่อมลพิษและคุณภาพชีวิต

SLAPP: ฟ้องปิดปากผู้ปกป้องสิ่งแวดล้อม

ปี 2568 ยังเห็นการใช้ คดีฟ้องปิดปาก (SLAPP) อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะคดีที่เกี่ยวข้องกับการเปิดโปงปัญหาสิ่งแวดล้อม คดีที่ถูกจับตามากคือกรณีบริษัท CPF ฟ้อง วิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ จากไบโอไทย เรียกค่าเสียหาย 200 ล้านบาท จากการเปิดเผยข้อมูลการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ แม้จะเป็นการเรียกร้องเพื่อประโยชน์สาธารณะ คดีนี้ยังไม่สิ้นสุด และจะสืบพยานต่อในเดือนธันวาคม 2569

สิ่งแวดล้อมกับการเมือง และโลกที่ร้อนขึ้น

ท้ายที่สุด EnLAW ชี้ให้เห็นว่า ประเด็นสิ่งแวดล้อมยังคงถูกมองเป็นเรื่องรองในเวทีการเมืองไทย ทั้งที่ประเทศกำลังเผชิญภัยพิบัติรุนแรงจาก การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ไม่ว่าจะเป็นน้ำท่วม ดินถล่ม หรือแผ่นดินไหว สถานการณ์เหล่านี้ทำให้คำถามสำคัญในปี 2569 คือ พรรคการเมืองและรัฐบาลจะยกระดับสิ่งแวดล้อมเป็นนโยบายหลักได้หรือไม่ ก่อนที่ต้นทุนความเสียหายจะตกอยู่กับประชาชนมากกว่านี้

ปี 2568 อาจผ่านไปแล้ว แต่ประเด็นสิ่งแวดล้อมเหล่านี้ยังไม่จบ และปี 2569 จะเป็นบทพิสูจน์ว่า สังคมไทยจะเลือกเส้นทางการพัฒนาที่คำนึงถึงคนและธรรมชาติได้จริงหรือไม่