เปิดตัวเลขขยะเทศกาลแห่งความสุข เมื่อของขวัญ กลายเป็นภาระสิ่งแวดล้อม

เปิดตัวเลขขยะเทศกาลแห่งความสุข เมื่อของขวัญ กลายเป็นภาระสิ่งแวดล้อม

ช่วงเทศกาลวันหยุดส่งผลให้ปริมาณขยะในครัวเรือนเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 25% โดยมีสาเหตุหลักมาจากการซื้อและห่อของขวัญ การตกแต่ง และการเฉลิมฉลอง

KEY

POINTS

  • ช่วงเทศกาลวันหยุดส่งผลให้ปริมาณขยะในครัวเรือนเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 25% โดยมีสาเหตุหลักมาจากการซื้อและห่อของขวัญ การตกแต่ง และการเฉลิมฉลอง
  • บรรจุภัณฑ์และวัสดุห่อของขวัญเป็นแหล่งกำเนิดขยะที่สำคัญ คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 40% ของขยะในช่วงเทศกาล ซึ่งส่วนใหญ่มักไม่สามารถนำไปรีไซเคิลได้
  • ของขวัญประมาณหนึ่งในสามไม่ถูกนำไปใช้งานจริง และการซื้อของออนไลน์ยังสร้างขยะบรรจุภัณฑ์มากกว่าการซื้อจากร้านค้าทั่วไปถึง 4.8 เท่า
  • ขยะจากเทศกาลส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในระยะยาว เนื่องจากวัสดุหลายชนิดใช้เวลาย่อยสลายนานหลายร้อยปีและเพิ่มการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

ทุกปลายปี เทศกาลวันหยุดอย่างคริสต์มาสและปีใหม่มักถูกมองว่าเป็นช่วงเวลาแห่งความสุข ความอบอุ่น และการให้ แต่เบื้องหลังภาพของกล่องของขวัญสีสันสดใสและการเฉลิมฉลอง กลับมี “ภูเขาขยะ” ที่เพิ่มขึ้นอย่างเงียบ ๆ จนกลายเป็นปัญหาสิ่งแวดล้อมระดับโลก ตัวเลขสถิติล่าสุดจากหลายองค์กรด้านสิ่งแวดล้อมชี้ชัดว่า เทศกาลแห่งการให้ในปัจจุบันกำลังสร้างต้นทุนต่อโลกสูงกว่าที่หลายคนตระหนัก

ZipDo ระบุว่า ในช่วงเทศกาลวันหยุด ครัวเรือนทั่วไปมีปริมาณขยะเพิ่มขึ้นเฉลี่ยราว 25% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาปกติของปี สาเหตุหลักมาจากการซื้อของขวัญ การห่อของ การตกแต่งบ้าน และกิจกรรมเฉลิมฉลองต่าง ๆ ขณะที่ในสหรัฐอเมริกาเพียงประเทศเดียว ปริมาณขยะจากการจับจ่ายช่วงคริสต์มาสและปีใหม่เพิ่มขึ้นมากถึงราว 25 ล้านตันต่อปี ตัวเลขนี้สะท้อนการบริโภคที่พุ่งสูงในช่วงเวลาสั้น ๆ แต่ทิ้งผลกระทบยาวนานต่อระบบจัดการขยะและสิ่งแวดล้อม

หนึ่งในแหล่งกำเนิดขยะที่ใหญ่ที่สุดคือบรรจุภัณฑ์และการห่อของขวัญ รายงานของ Earth Day ระบุว่า ประมาณ 40% ของขยะในช่วงเทศกาลมาจากวัสดุห่อหุ้ม เช่น กระดาษห่อของขวัญ กล่อง ถุงพลาสติก ริบบิ้น และโบว์ ซึ่งหลายชนิดไม่สามารถรีไซเคิลได้ เนื่องจากมีการเคลือบพลาสติก ฟอยล์ หรือใช้วัสดุผสมหลายประเภท
ในแต่ละปี สหรัฐอเมริกามีขยะจากกระดาษห่อของขวัญมากกว่า 300,000 ตัน ถูกทิ้งหลังการใช้งานเพียงไม่กี่นาที และเมื่อรวมบรรจุภัณฑ์ของขวัญทั้งหมด จะมีขยะมากถึงราว 1.5 ล้านตันที่จบลงในหลุมฝังกลบเฉพาะช่วงเทศกาลเท่านั้น

นอกจากบรรจุภัณฑ์แล้ว ปัญหาใหญ่อีกด้านคือ “ของขวัญที่ไม่ถูกใช้” งานวิจัยชี้ว่า ประมาณหนึ่งในสามของของขวัญที่ซื้อในช่วงเทศกาลจะไม่ได้ถูกใช้งานจริง หรือถูกทิ้งภายในหนึ่งปีหลังจากได้รับ ในสหรัฐอเมริกาเพียงประเทศเดียว มีขยะจากของขวัญที่ไม่ถูกนำไปใช้หรือรีไซเคิลอย่างเหมาะสมสูงถึงเกือบ 90,000 ตันต่อปี สถานการณ์นี้สะท้อนถึงวัฒนธรรมการให้ที่เน้นปริมาณและความรวดเร็ว มากกว่าความจำเป็นหรือคุณค่าระยะยาวของสิ่งของ

แนวโน้มการช้อปปิ้งออนไลน์ที่เติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงเทศกาลยิ่งซ้ำเติมปัญหาขยะ ข้อมูลจาก National Environmental Education Foundation ระบุว่า การซื้อของออนไลน์สร้างขยะบรรจุภัณฑ์มากกว่าการซื้อจากร้านค้าทั่วไปถึงประมาณ 4.8 เท่า เนื่องจากต้องใช้กล่องหลายชั้น วัสดุกันกระแทก และพลาสติกห่อหุ้มจำนวนมาก ขณะเดียวกัน อัตราการคืนสินค้าหลังเทศกาลก็อยู่ในระดับสูง โดยในบางปีมีสินค้าราว 10–17% ถูกส่งกลับไปยังร้านค้า และของจำนวนหนึ่งไม่สามารถนำกลับมาจำหน่ายต่อได้ ส่งผลให้จบลงที่หลุมฝังกลบแทนที่จะถูกนำกลับมาใช้ใหม่

ผลกระทบจากขยะเทศกาลไม่ได้หยุดอยู่แค่ปริมาณที่เพิ่มขึ้น แต่ยังรวมถึงผลกระทบระยะยาวต่อสิ่งแวดล้อม วัสดุอย่างพลาสติกเคลือบฟอยล์ โฟม หรือริบบิ้นสังเคราะห์ อาจต้องใช้เวลาหลายร้อยปีในการย่อยสลาย ขณะเดียวกัน กระบวนการผลิต การขนส่งของขวัญ และการกำจัดขยะเหล่านี้ยังเพิ่มการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ทำให้คาร์บอนฟุตพริ้นท์ของเทศกาลวันหยุดสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

ตัวเลขเหล่านี้ควรถูกมองเป็นสัญญาณเตือนว่า “เทศกาลแห่งความสุข” ในรูปแบบเดิมอาจไม่ยั่งยืนอีกต่อไป หากพฤติกรรมการบริโภคยังคงดำเนินไปเช่นเดิม ทางออกหนึ่งที่ถูกพูดถึงมากขึ้นคือการหันมาเลือกของขวัญที่ยั่งยืน ไม่ว่าจะเป็นของขวัญที่ใช้ซ้ำได้ รีไซเคิลได้ ใช้วัสดุเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม หรือแม้แต่การให้ประสบการณ์แทนการให้สิ่งของ

ท้ายที่สุด ตัวเลขสถิติขยะจากเทศกาลวันหยุดสะท้อนความจริงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ว่า ความสุขของการให้ในวันนี้กำลังทิ้งร่องรอยไว้กับโลกในวันข้างหน้า คำถามสำคัญจึงไม่ใช่เพียงว่า “จะให้ของขวัญอะไรดี” แต่คือ “เราจะให้โดยไม่เพิ่มภาระให้โลกได้อย่างไร” เพราะในยุควิกฤตสิ่งแวดล้อม การเลือกของขวัญอย่างมีสติ อาจเป็นของขวัญที่ดีที่สุดที่มนุษย์มอบให้โลกใบนี้ได้

 

 

อ้างอิง: Zipdo, NEEF, Earth Day