‘ขยะพลาสติก’ ล้นโลก กระทบสุขภาพ-สิ่งแวดล้อม-เศรษฐกิจ รีไซเคิลไม่พอ ต้องลดผลิตพลาสติกใหม่

‘ขยะพลาสติก’ ล้นโลก กระทบสุขภาพ-สิ่งแวดล้อม-เศรษฐกิจ รีไซเคิลไม่พอ ต้องลดผลิตพลาสติกใหม่

ขยะพลาสติกล้นโลก เสียเงินปีละหลายล้านล้านดอลลาร์ สำหรับแก้ผลกระทบสุขภาพ สิ่งแวดล้อม และเศรษฐกิจ วิธีแก้ปัญหาแค่รีไซเคิลไม่พอ ต้องลดผลิตพลาสติกใหม่

KEY

POINTS

  • วิกฤตขยะพลาสติกส่งผลกระทบรุนแรงทั่วโลก ทั้งต่อสุขภาพจากสารเคมีอันตราย สิ่งแวดล้อมจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจมหาศาล
  • การรีไซเคิลเพียงอย่างเดียวไม่สามารถแก้ปัญหาได้อีกต่อไป เนื่องจากปริมาณขยะพลาสติกที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวภายในปี 2040
  • แนวทางแก้ไขที่ยั่งยืนคือการเปลี่ยนแปลงเชิงระบบ โดยต้องมุ่งลดการผลิตพลาสติกใหม่ที่ไม่จำเป็นเป็นอันดับแรก ควบคู่ไปกับการสร้างเศรษฐกิจหมุนเวียนที่เน้นการใช้ซ้ำ

พลาสติก” เคยถูกยกย่องว่าเป็นวัสดุแห่งยุค ด้วยคุณสมบัติราคาถูก น้ำหนักเบา ทนทาน และสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย แต่ในตอนนี้กลับกลายเป็นภัยร้ายก่อปัญหาสิ่งแวดล้อม สุขภาพ และระบบเศรษฐกิจโลกอย่างน่าสะพรึงกลัว 

ตามรายงานฉบับล่าสุดจาก The Pew Charitable Trusts ภายใต้ชื่อ “Breaking the Plastic Wave 2025” ส่งสัญญาณเตือนภัยที่รุนแรงกว่าครั้งใด ๆ เกี่ยวกับวิกฤตการณ์มลพิษพลาสติกที่กำลังถาโถมเข้าใส่ทุกองคาพยพของโลก 

หากเรายังคงดำเนินกิจกรรมในรูปแบบเดิมโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงเชิงระบบอย่างเร่งด่วน มลพิษพลาสติกที่รั่วไหลสู่สิ่งแวดล้อมไม่ว่าจะเป็นในดิน น้ำ หรืออากาศ ภายในปี 2040 จะพุ่งสูงขึ้นมากกว่าเท่าตัว หรือคิดเป็นปริมาณมหาศาลถึง 280 ล้านเมตริกตันต่อปี เปรียบเสมือนการเทขยะพลาสติกจากรถบรรทุกหนึ่งคันลงสู่สิ่งแวดล้อมในทุก ๆ วินาทีตลอดเวลา

มูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจที่เกิดจากระบบพลาสติกสูงขึ้นจนน่าตกใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาถึง “ต้นทุนแฝง” ที่ไม่ได้ถูกคิดรวมอยู่ในราคาวัสดุ รายงานระบุว่าผลกระทบทางสุขภาพที่เกิดจากสารเคมีในพลาสติกทั่วโลกเพียงอย่างเดียวมีมูลค่าความเสียหายสูงถึง 1.5 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปี

ขณะเดียวกัน ค่าใช้จ่ายในการจัดเก็บและกำจัดขยะพลาสติกของรัฐบาลทั่วโลกมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นถึง 30% จนแตะระดับ 1.4 แสนล้านดอลลาร์ภายในปี 2040 ความเสียหายเหล่านี้ยังไม่รวมถึงผลกระทบต่อระบบนิเวศทางทะเลที่คาดว่ามีมูลค่าระหว่าง 500,000- 2.5 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปี 

รายงานยังชี้ให้เห็นว่า หากทั่วโลกตัดสินใจควบคุมพลาสติกล่าช้าเพียง 5 ปี จะส่งผลให้มีค่าใช้จ่ายสาธารณะเพิ่มขึ้นถึง 27,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี และเพิ่มความเสี่ยงในการสูญเสียเงินลงทุนมหาศาลไปกับเทคโนโลยีที่ล้าสมัยอย่างการเผาขยะซึ่งขัดขวางการก้าวสู่เศรษฐกิจหมุนเวียน

มลพิษที่เกิดจากพลาสติกไม่ได้ส่งผลกระทบเพียงแค่ตอนที่เป็นขยะเท่านั้น แต่สร้างความเสียหายในทุกขั้นตอนของวงจรชีวิต ตั้งแต่การสกัดฟอสซิล การผลิต การใช้งาน ไปจนถึงการกำจัด รายงานพบว่าพลาสติกมีสารเคมีที่ถูกเติมลงไปอย่างตั้งใจมากกว่า 16,000 ชนิด และมากกว่า 25% ของสารเหล่านี้ถูกพิสูจน์แล้วว่าอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพมนุษย์ 

สารกลุ่มที่น่ากังวลอย่างยิ่งคือ “สารรบกวนระบบต่อมไร้ท่อ” พบได้ทั่วไปในบรรจุภัณฑ์อาหาร ของเล่น และเครื่องสำอาง เป็นหนึ่งสาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหาการมีบุตรยาก มะเร็ง โรคเบาหวาน และความผิดปกติทางสติปัญญาในเด็ก

หากเราไม่เริ่มควบคุม คาดการณ์ว่าในปี 2040 มนุษยชาติจะต้องสูญเสียปีแห่งการมีสุขภาพดีไปถึง 9.8 ล้านปี เนื่องมาจากมลพิษพลาสติกและการเผาขยะในที่โล่งซึ่งปล่อยฝุ่นละอองและสารพิษรุนแรงเข้าสู่ชั้นบรรยากาศ

นอกจากนี้ พลาสติกทำให้เกิด “วิกฤติสภาพภูมิอากาศ” เพราะกระบวนการผลิตพลาสติกปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากถึง 86% หากการผลิตพลาสติกใหม่ยังคงเติบโตต่อไปในอัตราปัจจุบัน ปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจะเพิ่มขึ้นถึง 58% ภายในปี 2040 เทียบเท่ากับการปล่อยก๊าซจากรถยนต์ที่ใช้น้ำมันถึง 1,000 ล้านคัน 

หากระบบพลาสติกโลกเป็นประเทศหนึ่ง ประเทศนี้จะกลายเป็นผู้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกรายใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก รองจากจีนและสหรัฐเท่านั้น ปริมาณการปล่อยก๊าซสะสมเหล่านี้จะกลืนกินงบประมาณคาร์บอนที่เหลืออยู่เกือบครึ่งหนึ่ง เพื่อรักษาอุณหภูมิโลกไม่ให้สูงเกิน 1.5 องศาเซลเซียสตามความตกลงปารีส ทำให้การแก้ไขปัญหาพลาสติกไม่ใช่เพียงปัญหาขยะ แต่คือหัวใจสำคัญของการหยุดยั้งความพินาศของสภาพภูมิอากาศ

ท่ามกลางสถานการณ์ที่เลวร้าย รายงานของ Pew ยังคงชี้ให้เห็นว่ายังคงมีความหวังอยู่ หากสังคมโลกเลือกใช้มาตรการการเปลี่ยนแปลงเชิงระบบอย่างเต็มรูปแบบ (System Transformation) ที่มุ่งเน้นไปที่การลดการผลิตพลาสติกใหม่ควบคู่ไปกับการออกแบบระบบการใช้ซ้ำและการหมุนเวียนวัสดุ จะช่วยกำจัดบรรจุภัณฑ์พลาสติก ซึ่งเป็นแหล่งขยะที่ใหญ่ที่สุด ลงได้ถึง 97% ภายในปี 2040 ผ่านระบบการดำเนินการเสริมเพื่อปรับปรุงการรวบรวม การคัดแยก และการรีไซเคิลจะช่วยให้เกิดระบบหมุนเวียนที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้น

วินนี่ เลา ผู้อำนวยการโครงการป้องกันมลพิษพลาสติกของ Pew เน้นย้ำว่า “เรายังสามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งนี้ และทำให้มลพิษพลาสติกจากบรรจุภัณฑ์เกือบจะหายไป หากมีการลงมือทำอย่างจริงจังในระดับนโยบายและภาคธุรกิจ”

อีกหนึ่งความท้าทายที่ยังหาทางจัดการไม่ได้ คือ การกำจัด “ไมโครพลาสติก” ออกจากระบบนิเวศ แหล่งที่มาสำคัญของไมโครพลาสติกไม่ได้มาจากขยะถุงพลาสติกเท่านั้น แต่มาจากยางรถยนต์ที่สึกหรอ การหลุดลอกของสีทาอาคารและเรือ รวมถึงพลาสติกในภาคการเกษตร เช่น ฟิล์มคลุมดินและปุ๋ยเคลือบพลาสติก 

รายงานชี้ว่าแม้เราจะใช้มาตรการจัดการขยะที่ดีที่สุด แต่ปัญหาไมโครพลาสติกจะยังคงอยู่และต้องการนวัตกรรมใหม่ ๆ ในการออกแบบผลิตภัณฑ์เพื่อลดการหลุดลอกตั้งแต่ต้นทาง โดยในประเทศรายได้สูง ไมโครพลาสติกอาจกลายเป็นมลพิษพลาสติกในสัดส่วนที่สูงถึง 92% ของมลพิษพลาสติกทั้งหมดในปี 2040 ในกรณีที่สามารถลดการใช้พลาสติกขนาดใหญ่ได้สำเร็จ แต่ยังไม่ได้จัดการปัญหาไมโครพลาสติกอย่างยั่งยืน

การเปลี่ยนผ่านครั้งนี้จะต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของ “การเปลี่ยนผ่านอย่างเป็นธรรม” (Just Transition) โดยไม่ทอดทิ้งกลุ่มคนเปราะบาง โดยเฉพาะพนักงานเก็บขยะและคนเก็บของเก่าทั่วโลก ที่มีจำนวนกว่า 11-20 ล้านคน ที่เป็นผู้รับผิดชอบการคัดแยกขยะพลาสติกเพื่อรีไซเคิลถึง 60% ของทั้งหมด แต่กลับไม่ได้รับค่าตอบแทนที่เป็นธรรม ทั้งที่พวกเขาทำงานในสภาวะที่เป็นอันตราย

การสร้างระบบใหม่จึงต้องรวมคนกลุ่มนี้เข้าเป็นส่วนหนึ่งของระบบจัดการขยะที่เป็นทางการและมีสวัสดิการที่เหมาะสม เช่นเดียวกับชุมชนที่อาศัยอยู่ใกล้โรงงานปิโตรเคมี ที่ต้องทนรับผลกระทบทางสุขภาพมากกว่าคนทั่วไป ซึ่งรายงานย้ำว่านโยบายใด ๆ ในอนาคตต้องคำนึงถึงสิทธิมนุษยชนและสุขภาพของชุมชนเหล่านี้เป็นอันดับแรก

ความเสียหายที่เกิดขึ้นจะทวีความรุนแรงจนเกินเยียวยาหากเรายังคงล่าช้า ดังที่ทอม ดิลลอน รองประธานอาวุโสของ Pew Charitable Trusts กล่าวไว้ว่า “อันตรายจากพลาสติกกำลังทำให้ผู้คนทั่วโลกตกอยู่ในความเสี่ยง โดยเฉพาะผู้ที่เปราะบางที่สุดที่ต้องแบกรับภาระหนักหนาสาหัส แต่โลกยังสามารถสร้างระบบพลาสติกใหม่และแก้ไขปัญหามลพิษพลาสติกได้ในชั่วอายุคนเดียว หากผู้มีอำนาจตัดสินใจให้ลำดับความสำคัญกับผู้คนและโลกของเราเป็นอันดับแรก” 

การแก้ไขปัญหาพลาสติกจึงไม่ใช่เพียงแค่การรีไซเคิล แต่คือการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจจากรูปแบบซื้อ-ใช้-ทิ้ง ไปสู่ระบบที่ยั่งยืน ซึ่งนอกจากจะช่วยปกป้องสิ่งแวดล้อมแล้ว ยังสามารถสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ มูลค่ามหาศาล และสร้างงานสีเขียวเพิ่มขึ้นอีกกว่า 8.6 ล้านตำแหน่งภายในปี 2040

วิกฤติมลพิษพลาสติกในวันนี้ไม่ต่างจากการที่มนุษย์กำลังเปิดก๊อกน้ำทิ้งไว้จนน้ำล้นอ่าง แต่กลับแก้ปัญหาด้วยการใช้ช้อนวิดน้ำออก สุดท้ายน้ำก็จะยังท่วมบ้านอยู่ดี วิธีแก้ปัญหาที่ดีที่สุดคือการปิดก๊อก นั่นคือการลดปริมาณการผลิตพลาสติกใหม่ที่ไม่จำเป็น และเปลี่ยนโฉมหน้าของการบริโภคให้หมุนเวียนอย่างสมบูรณ์ เพื่อไม่ให้พลาสติกทำลายอนาคตของคนรุ่นต่อไปหายไปจากความเพิกเฉยของคนรุ่นเรา


ที่มา: BloombergBusiness WorldThe Guardian