วิกฤติ ‘ป่าฝนเขตร้อน’ จากแหล่งกักเก็บกลายเป็นปล่อยคาร์บอน สูญเสียเครื่องมือต่อสู้โลกร้อน

ป่าฝนเขตร้อนปล่อยคาร์บอนมากกว่ากักเก็บ โดยป่าแอฟริกาสูญเสียชีวมวลจากมนุษย์ ขณะที่ออสเตรเลียเจออากาศร้อนต้นไม้ตายหมด
KEY
POINTS
- ป่าฝนเขตร้อนในบางพื้นที่สำคัญของโลก เช่น แอฟริกาและออสเตรเลีย กำลังเปลี่ยนบทบาทจากแหล่งกักเก็บคาร์บอนกลายเป็นแหล่งปล่อยคาร์บอนสุทธิ
- สาเหตุหลักในแอฟริกามาจากการทำลายป่าโดยมนุษย์ เช่น การทำเกษตรแบบตัดและเผา และการลักลอบตัดไม้
- ส่วนในออสเตรเลียเกิดจากผลกระทบโดยตรงของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เช่น อุณหภูมิสูงขึ้น ภัยแล้ง และพายุที่รุนแรงขึ้น
- การเปลี่ยนแปลงนี้เป็นอุปสรรคสำคัญต่อเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกของโลก และทำให้ต้องเร่งลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลให้เร็วยิ่งขึ้น
“ป่าฝนเขตร้อน” ถูกการยกย่องมาอย่างยาวนานว่าเป็น “แหล่งกักเก็บคาร์บอน” ที่สำคัญที่สุดของโลก เนื่องจากกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงของพืชสามารถช่วยดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ปริมาณมาก โดยกักเก็บคาร์บอนไว้ในชีวมวลของพืชและในดิน นับเป็นหนึ่งกำลังหลักในการต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แต่ในตอนนี้สถานการณ์กำลังเปลี่ยนไป ป่าฝนบางแห่งกลับปล่อยคาร์บอนออกมามากกว่าที่ดูดซับได้
การวิจัยล่าสุดพบ การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของป่าฝนในทวีปแอฟริกาและออสเตรเลีย แทนที่จะดูดซับคาร์บอนกลับกลายเป็นแหล่งปล่อยก๊าซคาร์บอนสุทธิแทน การเปลี่ยนแปลงบทบาทของป่าเขตร้อนนี้เป็นสัญญาณอันตรายที่ส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อความพยายามของโลกในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เป็นศูนย์
ป่าแอฟริกาสูญเสียชีวมวลจากกิจกรรมของมนุษย์
พื้นที่ป่าไม้และป่าละเมาะในทวีปแอฟริกาเคยเป็นหนึ่งในแหล่งกักเก็บคาร์บอนขนาดใหญ่ที่สุดของโลก โดยคิดเป็นสัดส่วนถึง 20% ของปริมาณคาร์บอนทั้งหมดที่พืชดูดซับไว้ทั่วโลก โดยมีป่าฝนคองโกเป็นกำลังสำคัญ เป็นป่าที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองของโลก ป่าแห่งนี้เคยดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ได้ถึง 600 ล้านตันต่อปี จนได้รับการขนานนามว่าเป็น “ปอดแห่งแอฟริกา”
ทว่า บทบาทนี้ได้พลิกผันอย่างรุนแรง จากการศึกษาโดยใช้ข้อมูลดาวเทียม นักวิจัยพบว่าหลังจากการเพิ่มขึ้นของชีวมวลในช่วงปี 2007-2010 พอเข้าสู่ปี 2011-2017 ป่าแอฟริกากลับมีการสูญเสียชีวมวลในอัตรา 106 ล้านตันต่อปี ซึ่งการสูญเสียชีวมวลนี้เทียบเท่ากับการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศประมาณ 200 ล้านตันต่อปี ส่งผลให้ป่าแอฟริกาโดยรวมเปลี่ยนจากแหล่งกักเก็บคาร์บอนไปเป็นแหล่งกำเนิดคาร์บอนอย่างชัดเจน
การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวมีสาเหตุหลักมาจากการทำลายป่าฝนคองโก โดยพื้นที่ป่าฝั่งแอฟริกาตะวันตกได้รับผลกระทบหนักที่สุด ด้วยความยากจนทำให้เกษตรกรจึงต้องทำลายป่าฝนเพื่อทำเกษตรแบบตัดและเผา นอกจากนี้ ยังมีบริษัทของชาวต่างชาติเข้ามาตัดไม้ผิดกฎหมาย เพื่อส่งออกไม้เนื้อแข็งมีค่า เช่น ไม้สักแอฟริกัน แนวโน้มนี้ยังอาจรุนแรงขึ้นอีกในอนาคตจากความต้องการทรัพยากรที่เพิ่มมากขึ้น ทั้งจากจำนวนประชากรในภูมิภาคที่เพิ่มมากขึ้น และความต้องการสินค้าส่งออกที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะจากเอเชีย
ดร.เฮย์โก บาลซ์เตอร์ ศาสตราจารย์ด้านภูมิศาสตร์กายภาพแห่งมหาวิทยาลัยเลสเตอร์ ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้เขียนรายงาน กล่าวว่าการค้นพบนี้ชี้ให้เห็นว่าโลกกำลังเผชิญกับช่องว่างของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่กว้างขึ้น ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการบรรลุเป้าหมายของความตกลงปารีส”
“เรากำลังสูญเสียป่าเขตร้อนไป เท่ากับขาดกลไกหนึ่งในการบรรเทาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ดังนั้นเราจะต้องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการเผาเชื้อเพลิงฟอสซิลให้เร็วยิ่งขึ้นกว่าเดิมเพื่อมุ่งสู่การปล่อยสุทธิเป็นศูนย์” ดร.เฮย์โกกล่าว
ป่าออสเตรเลีย สัญญาณเตือนภัยจากภาวะโลกร้อน
ในขณะที่วิกฤตการณ์ในแอฟริกาเกิดจากกิจกรรมของมนุษย์เป็นหลัก ป่าฝนเขตร้อนของออสเตรเลียได้กลายเป็นป่าแห่งแรกของโลกที่แสดงอาการการเปลี่ยนผ่านจากแหล่งกักเก็บคาร์บอนไปสู่แหล่งปล่อยคาร์บอน ซึ่งเป็นผลจากแนวโน้มที่เชื่อมโยงกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโดยตรง
จากการศึกษาข้อมูลเกือบ 50 ปีจากป่าฝน 20 แห่งในรัฐควีนส์แลนด์ นักวิจัยพบว่า ป่าไม้มีอัตราการตายของต้นไม้สูงกว่าอัตราการเติบโตขึ้นใหม่ เนื่องจากอุณหภูมิที่สูงขึ้นอย่างรุนแรง ภาวะความแห้งแล้งของชั้นบรรยากาศ และภัยแล้ง
นอกจากนี้ รายงานยังระบุว่า พายุไซโคลนมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นและรุนแรงมาก ทำให้ต้นไม้ใหม่เติบโตได้มากขึ้น และทำให้ต้นไม้จำนวนมากตาย ซึ่งลำต้นและกิ่งก้านของต้นไม้ที่ตายแล้ว หรือที่เรียกว่า “ชีวมวลเนื้อไม้” (woody biomass) ได้กลายเป็นแหล่งปล่อยคาร์บอนสุทธิแทนที่จะเป็นแหล่งดูดซับคาร์บอน
ดร.ฮันนาห์ คาร์ล หัวหน้าคณะผู้เขียนงานวิจัยจากมหาวิทยาลัยเวสต์เทิร์นซิดนีย์ กล่าวว่าแบบจำลองปัจจุบันอาจประเมินศักยภาพของป่าเขตร้อนในการช่วยชดเชยการปล่อยเชื้อเพลิงฟอสซิลสูงเกินจริง
“ป่าเขตร้อนชื้นในออสเตรเลียเป็นแห่งแรกของโลกที่แสดงอาการการเปลี่ยนแปลงนี้อย่างชัดเจน และนั่นมีความสำคัญอย่างยิ่ง มันอาจทำหน้าที่เป็นสัญญาณเตือน เนื่องจากป่าในออสเตรเลียอยู่ในสภาพภูมิอากาศที่ค่อนข้างร้อนและแห้งแล้งกว่าป่าเขตร้อนในทวีปอื่น ๆ ดังนั้นในอนาคตป่าอื่น ๆ ทั่วโลกอาจจะเผชิญกับสถานการณ์เดียวกัน” ดร.คาร์ลกล่าว
การที่ป่าฝนแอฟริกาและออสเตรเลียสูญเสียความสามารถในการเป็นแหล่งกักเก็บคาร์บอนได้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการบรรลุเป้าหมายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ศ.เดวิด คาโรลี ผู้เชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกล่าวว่า ตลอดช่วง 20 ปีที่ผ่านมาป่าออสเตรเลียเริ่มปล่อยคาร์บอนเพิ่มมากขึ้น แม้ว่าป่าเหล่านี้จะยังคงดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์อยู่บ้าง แต่ศักยภาพที่ลดลงก็ทำให้การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากเชื้อเพลิงฟอสซิลยากขึ้นมาก
ดังนั้น ผู้เชี่ยวชาญจึงเรียกร้องให้มีการดำเนินการอย่างเร่งด่วนเพื่อย้อนกลับแนวโน้มนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแอฟริกา ซึ่งต้องมีการปรับปรุงธรรมาภิบาลป่าไม้และสร้างขีดความสามารถในด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม ในแง่ของโซลูชันทางการเงิน
ตอนนี้บราซิลได้จัดตั้งโครงการ Tropical Forest Forever Facility (TFFF) กองทุนที่มีวัตถุประสงค์เพื่อจ่ายผลตอบแทนจากการลงทุนให้กับประเทศเขตร้อนที่อนุรักษ์ป่าไว้ ในอัตรา 4 ดอลลาร์ต่อเฮกตาร์ของพื้นที่ป่าที่คงอยู่ กลไกนี้ถูกมองว่าอาจมีประสิทธิภาพมากกว่าคาร์บอนเครดิต ที่มักถูกมองว่าไม่มีมูลค่าที่แท้จริง แต่ในตอนนี้กองทุนก็ยังไม่สามารถระดมเงินทุนได้ตามเป้า
หลังจากนี้ โลกอาจไม่สามารถพึ่งพาป่าฝนในการดูดซับคาร์บอนได้อีกต่อไป การบรรเทาวิกฤตครั้งนี้จึงขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของมนุษย์ที่จะลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
ที่มา: Aljazeera, BBC, The Guardian







