ใกล้ถึงจุด ‘ธารน้ำแข็ง’ หายหมดโลก ความสูญเสียทางธรรมชาติจากฝีมือมนุษย์

“จุดสูงสุดของการสูญพันธุ์ของธารน้ำแข็ง” นับเป็นความสูญเสียทางธรรมชาติจากฝีมือมนุษย์ ซึ่งจะทำให้ 2,000 ล้านคนสูญเสียแหล่งน้ำ กระทบท่องเที่ยว
KEY
POINTS
- นักวิทยาศาสตร์เตือนว่าธารน้ำแข็งเกือบทั้งหมดของโลกอาจหายไปภายในสิ้นศตวรรษที่ 21 หากไม่สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ ซึ่งเป็นผลโดยตรงจากการกระทำของมนุษย์
- การศึกษาคาดการณ์ว่าหากอุณหภูมิโลกสูงขึ้น 2.7 องศาเซลเซียส จะมีธารน้ำแข็งหายไปถึงปีละ 3,000 แห่งในช่วงปี 2040-2060 และจะเหลือรอดเพียง 20% ภายในปี 2100
- การสูญเสียธารน้ำแข็งเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ไม่อาจย้อนกลับได้ ส่งผลกระทบต่อประชากรกว่า 2,000 ล้านคนที่พึ่งพาน้ำจืด รวมถึงมรดกทางวัฒนธรรมและระบบนิเวศ
ในแต่ละปี โลกสูญเสียธารน้ำแข็งประมาณ 1,000 แห่ง และจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ นับเป็นสัญญาณที่ชัดเจนที่สุดอย่างหนึ่งของวิกฤตสภาพภูมิอากาศที่เกิดจากการกระทำของมนุษย์ นักวิทยาศาสตร์ระบุว่า หากทั่วโลกไม่สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงได้ ภายในสิ้นปี 2100 จะแทบไม่เหลือธารน้ำแข็งอยู่เลย พร้อมระบุว่าในตอนนี้กำลังเข้าสู่ “จุดสูงสุดของการสูญพันธุ์ของธารน้ำแข็ง”
จากการศึกษาใหม่ที่ตีพิมพ์ในวารสาร Nature Climate Change ของแลนเดอร์ ฟาน ทริชต์ นักธารน้ำแข็งวิทยา นำเสนอแนวคิดที่เรียกว่า “จุดสูงสุดของการสูญพันธุ์ของธารน้ำแข็ง” (Peak Glacier Extinction) หมายถึงช่วงเวลาที่จำนวนธารน้ำแข็งที่หายไปในหนึ่งปีถึงจุดสูงสุด โดยการกำหนดช่วงเวลาและขอบเขตของการสูญพันธุ์นี้ขึ้นอยู่กับระดับภาวะโลกร้อนที่โลกต้องเผชิญ
การศึกษานี้ ยังเน้นย้ำให้ทั่วโลกจำเป็นต้องกำหนดนโยบายด้านสภาพภูมิอากาศอย่างเป็นรูปธรรมให้เร็วที่สุด ด้วยการเสนอแบบจำลองสถานการณ์ที่อุณหภูมิแตกต่างกัน
ภายใต้สถานการณ์ที่ดีที่สุด หากโลกสามารถจำกัดภาวะโลกร้อนไว้ที่ 1.5 องศาเซลเซียสเมื่อเทียบกับยุคก่อนอุตสาหกรรม ตามที่ระบุไว้ในความปารีส อัตราการสูญหายของธารน้ำแข็งในแต่ละปีขึ้นถึงจุดสูงสุดที่ประมาณ 2,000 แห่งต่อปี ในช่วงปี 2041 ในอัตรานี้ ธารน้ำแข็งประมาณเกือบครึ่งหนึ่งของโลก หรือประมาณ 95,957 แห่ง จะยังคงอยู่จนถึงปี 2100
แต่ดูเหมือนว่า เราจะไม่สามารถรักษาสัญญานี้ได้ สหประชาชาติได้เตือนว่าอุณหภูมิโลกจะสูงเกิน 1.5 ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า
หากยังคงดำเนินนโยบายของรัฐบาลในปัจจุบัน จะทำให้อุณหภูมิเพิ่มขึ้น 2.7 องศาเซลเซียส แบบจำลองพบว่าด้วยอุณหภูมิเท่านี้ ในระหว่างปี 2040-2060 จะมีธารน้ำแข็งหายไปประมาณ 3,000 แห่งในแต่ละปี ซึ่งเป็นอัตราที่สูงกว่าการสูญเสียในปัจจุบันถึง 3-5 เท่า และมีธารน้ำแข็งประมาณ 43,852 แห่ง หรือราว 20% ของทั้งหมดเท่านั้นที่จะอยู่รอดจนถึงปี 2100
สำหรับสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด หากอุณหภูมิสูงขึ้นถึง 4 องศาเซลเซียส จุดสูงสุดของการสูญพันธุ์ของธารน้ำแข็งจะเกิดขึ้นในกลางทศวรรษที่ 2050 โดยจะมีธารน้ำแข็งมากถึง 4,000 แห่งหายไปในแต่ละปี ซึ่งจะเหลือธารน้ำแข็งเพียง 9% หรือประมาณ 18,288 แห่งทั่วโลกเมื่อสิ้นสุดศตวรรษนี้
ดาเนียล ฟาริโนตติ ผู้ร่วมเขียนการศึกษาและศาสตราจารย์ด้านธารน้ำแข็งวิทยาจาก ETH Zurich กล่าวว่า ผลลัพธ์นี้เน้นย้ำว่า การดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศที่มีความทะเยอทะยานนั้นมีความจำเป็นเร่งด่วนเพียงใด เพราะความแตกต่างของอุณหภูมิเพียงเสี้ยวองศาก็สามารถกำหนดได้ว่าโลกของเราจะเหลือธารน้ำแข็งไม่ถึง 10% หรือจะรักษาไว้ได้ครึ่งหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม แต่ละภูมิภาคก็สูญเสียธารน้ำแข็งไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับขนาดและที่ตั้งของมัน โดยพื้นที่ที่มีธารน้ำแข็งขนาดเล็กเป็นส่วนใหญ่ เช่น เทือกเขาแอลป์ในยุโรป เทือกเขาคอเคซัส และเทือกเขาแอนดีสกึ่งเขตร้อน จะถึงจุดสูงสุดของการสูญพันธุ์เร็วกว่า ซึ่งธารน้ำแข็งกว่าครึ่งหนึ่งในภูมิภาคเหล่านี้ จะหายไปภายในช่วง 10-20 ปีข้างหน้า
สำหรับเทือกเขาแอลป์ในยุโรป อาจจะถึงจุดสูงสุดของอัตราการสูญพันธุ์ภายในปี 2033 ภายใต้สถานการณ์อุณหภูมิ 2.7 องศาเซลเซียส ภายในปี 2100 จะเหลือธารน้ำแข็งเพียงประมาณ 110 แห่งในยุโรปกลาง หรือเพียง 3% ของจำนวนที่มีอยู่ในปัจจุบัน
แต่ถ้าอุณหภูมิเพิ่มขึ้น 4 องศาเซลเซียส จะเหลือธารน้ำแข็งเพียงประมาณ 20 แห่งเท่านั้น และภายในปี 2100 อัตราการสูญเสียในเทือกเขาแอลป์จะลดลงจนเกือบเป็นศูนย์ เพราะแทบจะไม่มีธารน้ำแข็งเหลืออยู่แล้ว
ในทางกลับกัน ภูมิภาคที่มีธารน้ำแข็งขนาดใหญ่ เช่น กรีนแลนด์และบริเวณโดยรอบแอนตาร์กติก จะถึงจุดสูงสุดของการสูญพันธุ์ของธารน้ำแข็งในช่วงปลายศตวรรษ แม้ว่าธารน้ำแข็งในกรีนแลนด์จะถึงจุดสูงสุดของการสูญพันธุ์ประมาณปี 2063 แต่การละลายจะดำเนินต่อไปถึงทศวรรษที่ 2100
แม้ว่าการละลายของธารน้ำแข็งขนาดเล็กแต่ละแห่งอาจมีผลกระทบต่อระดับน้ำทะเลน้อยกว่าธารน้ำแข็งขนาดใหญ่ แต่การสูญเสียของธารน้ำแข็งเหล่านี้สามารถสร้างความเสียหายอย่างมีนัยสำคัญต่อการท่องเที่ยวและวัฒนธรรมท้องถิ่น ขณะเดียวกันยังส่งผลกระทบต่อประชากรถึง 2,000 ล้านคน ที่พึ่งพาน้ำจากภูเขาเพื่อการบริโภคและความมั่นคงทางอาหาร
นอกจากนี้ ธารน้ำแข็งยังมีความสำคัญทางวัฒนธรรมอย่างลึกซึ้ง เช่น ในวัฒนธรรมเมารีที่ถือว่าธารน้ำแข็งคือบรรพบุรุษ โดยนา ลิซ่า ตูมาไฮ ผู้นำทางการเมืองของเมารี กล่าวถึงธารน้ำแข็งฟรานซ์โจเชฟที่กำลังละลายว่า “ธารน้ำแข็งที่ยิ่งใหญ่แห่งนี้ เคยเป็นสิ่งที่มีพลังทางกายภาพอย่างมาก แต่ตอนนี้กำลังหดตัวจนใกล้หายไป มันถูกทำให้อับอายจากการกระทำของมนุษย์”
ขณะที่ มัททีอัส ฮัสส์ นักธารน้ำแข็งวิทยาจาก ETH Zurich กล่าวว่า “การสูญเสียธารน้ำแข็งที่เรากำลังพูดถึงที่นี่เป็นมากกว่าแค่ความกังวลทางวิทยาศาสตร์ มันกระทบกระเทือนจิตใจของเราอย่างแท้จริง” ก่อนหน้านี้ในปี 2019 มีการจัดทำงานพิธีศพเชิงสัญลักษณ์ให้ธารน้ำแข็งต่าง ๆ ที่กำลังละลายหายไปในหลายประเทศ เช่น สวิตเซอร์แลนด์ ไอซ์แลนด์ เนปาล และที่อื่น ๆ โดยมีผู้คนจำนวนมากปีนขึ้นไปเพื่อกล่าวคำอำลา
ฮัสส์อธิบายว่า การทราบว่าธารน้ำแข็งจะหายไปเมื่อใด แสดงให้เห็นว่า “การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศไม่ได้นำไปสู่แค่การละลายของน้ำแข็งเท่านั้น แต่ยังนำไปสู่การสูญพันธุ์โดยสมบูรณ์ของธารน้ำแข็งหลายแห่ง”
ส่วนเอริค ริกน็อต ศาสตราจารย์ด้านวิทยาศาสตร์ระบบโลกแห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ณ เออร์ไวน์ กล่าวว่า การละลายของธารน้ำแข็ง ถือเป็นจุดที่ไม่อาจย้อนกลับ หายไปแล้วก็หายไปเลย เพราะการก่อตัวใหม่ของธารน้ำแข็งจะต้องใช้เวลาหลายทศวรรษ ถึงหลายศตวรรษ
การศึกษาได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการช่วยเหลือชุมชนปรับตัวต่อสภาพที่เปลี่ยนแปลง เช่น การทำฟาร์มรูปแบบใหม่ หรือแม้แต่การสร้างธารน้ำแข็งเทียม
การที่ธารน้ำแข็งจำนวนมากกำลังจะหายไป ถือเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญพร้อมกับความหมายอันลึกซึ้งต่อระบบนิเวศ ทรัพยากรน้ำ และมรดกทางวัฒนธรรม เพราะธารน้ำแข็งทุกแห่งมีความผูกพันกับสถานที่ เรื่องราว และผู้คนที่รู้สึกถึงความสูญเสียของมัน นั่นคือเหตุผลที่ทุกคนจะต้องช่วยกันปกป้องธารน้ำแข็งที่ยังเหลืออยู่ และเพื่อรักษาความทรงจำของธารน้ำแข็งที่หายไป
ที่มา: CNN, Science Alert, Scitech Daily, The Guardian







