พลิกโมเดลธุรกิจ 'เปลี่ยนขยะให้เป็นเงิน' ทางรอดใหม่ของโลก-โอกาสของไทย

จากระบบ "ผลิต-ใช้-ทิ้ง" สู่ "วงจรปิดที่ยั่งยืน" เผยผลศึกษาชี้ช่วยลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคก่อสร้างได้ถึง 75% ภายในปี 2593 ขณะที่ไทยเริ่มขยับตั้งเป้าขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียนสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจหลักแสนล้านบาท
KEY
POINTS
- เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) เป็นโมเดลธุรกิจใหม่ที่เปลี่ยนจาก "ผลิต-ใช้-ทิ้ง" เป็นวงจรปิดที่ยั่งยืน เพื่อลดต้นทุนและแก้ปัญหาวิกฤตทรัพยากรโลก
- การนำแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนมาใช้ในภาคการก่อสร้างมีศักยภาพช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 75% ภายในปี 2593
- ประเทศไทยตั้งเป้าขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียนผ่านโมเดล BCG โดยคาดว่าจะสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจกว่า 1.2 แสนล้านบาท และนำขยะพลาสติกกลับมาใช้ประโยชน์ 100% ภายในปี 2570
จากระบบ "ผลิต-ใช้-ทิ้ง" สู่ "วงจรปิดที่ยั่งยืน" เผยผลศึกษาชี้ช่วยลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคก่อสร้างได้ถึง 75% ภายในปี 2593 ขณะที่ไทยเริ่มขยับตั้งเป้าขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียนสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจหลักแสนล้านบาท
เมื่อโมเดลเดิมเดินต่อไม่ได้: ยุคสมัยแห่งการ "ทำ-ใช้-คืน"
ในโลกที่เผชิญกับวิกฤตภูมิอากาศ การขาดแคลนทรัพยากร และความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ โมเดลธุรกิจแบบเส้นตรง (Linear Economy) ที่เน้น "หยิบฉวย-ผลิต-ทิ้งขว้าง" กำลังกลายเป็นเรื่องล้าสมัย ข้อมูลจากสหภาพยุโรป (EU) ระบุว่าปัจจุบันภาคธุรกิจเสียค่าใช้จ่ายไปกับ "วัตถุดิบ" มากกว่าค่าแรงหรือพลังงานถึง 2 เท่า การเปลี่ยนผ่านสู่ เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) จึงไม่ใช่แค่เรื่องรักษ์โลก แต่คือกลยุทธ์ลดต้นทุนเพื่อความอยู่รอด
ภาคการก่อสร้างถือเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุด โดยสภาเศรษฐกิจโลก (World Economic Forum) คาดการณ์ว่าการนำแนวคิดหมุนเวียนมาใช้จะช่วยลดการปล่อยคาร์บอนในภาคส่วนนี้ได้สูงถึง 75% ภายในปี 2593 เมื่อเทียบกับการก่อสร้างใหม่แบบเดิมๆ
อุปสรรคที่ต้องก้าวข้าม ขยะก่อสร้างที่ถูกลืม
แม้จะดูมีอนาคต แต่ในปัจจุบันอัตราการรีไซเคิลขยะก่อสร้างทั่วโลกยังคงต่ำเตี้ยเรี่ยดิน ข้อมูลจากมูลนิธิ Ellen MacArthur และ McKinsey & Co. เผยว่า
- ขยะจากการก่อสร้างถูกนำมารีไซเคิลเพียง 20-30%
- วัสดุจากการรื้อถอนอาคารได้รับการนำกลับมาใช้ซ้ำ (Reuse) เพียง 1% เท่านั้น
- เศษกระจกแผ่น (Flat glass) แทบจะไม่มีการรีไซเคิลเลย (0-1%)
ส่องสถานการณ์ในประเทศไทย: โอกาสและเป้าหมาย
ข้อมูลจาก สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) และ กรมควบคุมมลพิษระบุว่า ประเทศไทยเองไม่ได้นิ่งเฉย รัฐบาลไทยได้กำหนดให้ BCG Model (Bio-Circular-Green Economy) เป็นวาระแห่งชาติ โดยมีประเด็นที่น่าสนใจดังนี้
- เป้าหมายทางเศรษฐกิจ: กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจหมุนเวียนจะช่วยเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ได้กว่า 1.2 แสนล้านบาท ภายในปี 2573
- การจัดการขยะพลาสติก: ไทยตั้งเป้าหมายนำขยะพลาสติกกลับมาใช้ประโยชน์ 100% ภายในปี 2570 (ตาม Roadmap การจัดการขยะพลาสติก พ.ศ. 2561-2573)
- ตัวอย่างความสำเร็จ: แบรนด์ใหญ่อย่าง SCG ได้นำแนวคิด SCG Circular Way มาใช้ เช่น การทำถนนพลาสติกรีไซเคิล หรือการนำเศษวัสดุก่อสร้างกลับมาเป็นมวลรวมในการผลิตคอนกรีตใหม่
นโยบายคือ "ตัวเร่ง" สำคัญ
การจะเปลี่ยนผ่านได้จริงต้องอาศัยกฎหมายที่เอื้ออำนวย เช่นเดียวกับที่ EU กำลังผลักดัน Circular Economy Act เพื่อเพิ่มสัดส่วนการใช้วัสดุรีไซเคิลเป็น 2 เท่า ซึ่งจะช่วยลดการพึ่งพานำเข้าและเสริมความแกร่งให้ซัพพลายเชน
นอกจากนี้ การสร้างแรงจูงใจทางการเงินก็เห็นผลชัดเจน เช่น ในเดนมาร์กที่สามารถรีไซเคิลขวดและกระป๋องได้สูงถึง 93% ผ่านระบบการคืนเงินมัดจำ (Refund system) เพียงไม่กี่บาทต่อชิ้น
ก้าวต่อไป จากการพูดคุยสู่การลงมือทำ
บริษัทระดับโลกอย่าง VELUX กำลังเริ่มโมเดลธุรกิจใหม่ เช่น ในเนเธอร์แลนด์ที่มีบริการเก็บและถอดแยกชิ้นส่วนหน้าต่างเก่าเพื่อส่งคืนวัสดุเข้าสู่ระบบผลิต หรือในเยอรมนีที่เน้นการบำรุงรักษาเพื่อยืดอายุการใช้งานให้นานที่สุด
การก้าวสู่ Circular Economy อาจต้องใช้เงินลงทุนมหาศาล (ประเมินว่าต้องใช้เงินถึง 2.3 แสนล้านยูโรในการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานทั่วโลก) แต่ผลตอบแทนระยะยาวนั้นคุ้มค่า โดยคาดว่าจะสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้สูงถึง 1.5 ล้านล้านยูโร ภายในปี 2583
การเลือกระหว่าง "อยู่กับที่" หรือ "ลงทุนเพื่อหมุนเวียน" ไม่ใช่การตัดสินใจที่ยากอีกต่อไป เพราะนี่คือสถานการณ์ Win-Win ที่ช่วยให้ธุรกิจกำไรดีขึ้น ไปพร้อมกับการรักษาโลกใบนี้ให้คนรุ่นหลัง
ที่มา : World Economic Forum







