ปฏิวัติโมเดลการเงินโลก ดัน 'ธุรกิจประกัน' ทะลวงงบ 80 ล้านล้านบาท สู้ศึกโลกร้อน

ปฏิวัติโมเดลการเงินโลก ดัน 'ธุรกิจประกัน' ทะลวงงบ 80 ล้านล้านบาท สู้ศึกโลกร้อน

เมื่อบริษัทประกันไม่ได้มีหน้าที่แค่จ่ายสินไหม แต่คือผู้วางรากฐานความเชื่อมั่น เพื่อดึงดูดเม็ดเงินลงทุนมหาศาลเข้าสู่กลุ่มประเทศกำลังพัฒนา รวมถึงไทย ก่อนวิกฤติสภาพภูมิอากาศจะสายเกินแก้

KEY

POINTS

  • ธุรกิจประกันกำลังเปลี่ยนบทบาทจากการจ่ายสินไหม มาเป็นการสร้างความเชื่อมั่นและลดความเสี่ยง เพื่อดึงดูดเงินทุนเอกชนมหาศาล (ราว 80 ล้านล้านบาทต่อปี) ให้เข้าสู่ประเทศกำลังพัฒนาเพื่อต่อสู้กับวิกฤตโลกร้อน
  • อุปสรรคสำคัญที่ขัดขวางเงินทุนคือการที่นักลงทุนประเมินความเสี่ยงในประเทศกำลังพัฒนาสูงเกินจริง ทั้งที่ข้อมูลชี้ว่าอัตราการผิดนัดชำระหนี้ไม่สูงอย่างที่คิด
  • ประเทศไทยซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มเสี่ยงสูง กำลังปรับตัวโดยมี คปภ. ขับเคลื่อนการประกันภัยรูปแบบใหม่ (Parametric Insurance) และใช้มาตรฐาน Thailand Taxonomy เพื่อให้การสนับสนุนโครงการสีเขียวมีมาตรฐานเดียวกัน
  • คาดว่าภายในปี พ.ศ. 2569 โมเดลความร่วมมือระหว่างรัฐและเอกชนโดยใช้เครื่องมือประกันภัย จะสามารถเพิ่มกระแสเงินลงทุนเพื่อรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้ถึง 40%

เมื่อบริษัทประกันไม่ได้มีหน้าที่แค่จ่ายสินไหม แต่คือผู้วางรากฐานความเชื่อมั่น เพื่อดึงดูดเม็ดเงินลงทุนมหาศาลเข้าสู่กลุ่มประเทศกำลังพัฒนา รวมถึงไทย ก่อนวิกฤติสภาพภูมิอากาศจะสายเกินแก้

ช่องว่างมหาศาลที่เงินไปไม่ถึง

แม้ในปี พ.ศ. 2566 ที่ผ่านมา เม็ดเงินด้านการเงินเพื่อภูมิอากาศ (Climate Finance) ทั่วโลกจะทะยานขึ้นสู่ระดับ 1.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 68 ล้านล้านบาท) ซึ่งถือเป็นก้าวย่างสำคัญของการลงทุนที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม แต่ตัวเลขนี้กลับเป็นเพียงเศษเสี้ยวของความต้องการจริง

รายงานฉบับล่าสุดระบุว่า ภายในปี พ.ศ. 2573 กลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่และประเทศกำลังพัฒนา (EMDEs) ซึ่งเป็นด่านหน้าของการรับมือภัยพิบัติ จะต้องการเงินทุนสูงถึง 2.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ทว่าปัจจุบัน "กำแพงความเสี่ยง" กำลังขวางกั้นไม่ให้ทุนเอกชนไหลเข้าสู่พื้นที่ที่ต้องการความช่วยเหลือมากที่สุด

เจาะลึก "มายาคติ" เรื่องความเสี่ยง ความจริงที่นักลงทุนมองข้าม

อุปสรรคสำคัญที่สุดคือ "การประเมินความเสี่ยงที่สูงเกินจริง" นักลงทุนในซีกโลกตะวันตกมักมองว่าการลงทุนในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ทั้งเรื่องกฎระเบียบ ค่าเงิน และเสถียรภาพทางการเมือง

อย่างไรก็ตาม ข้อมูลจาก Global Emerging Markets Risk Database และการวิเคราะห์ของ IFC (International Finance Corporation) กลับชี้ให้เห็นความจริงที่ต่างออกไป:

จากการสำรวจเงินกู้ภาคเอกชนกว่า 10,000 รายการใน 169 ประเทศ พบว่า อัตราการผิดนัดชำระหนี้ (Default Rates) เฉลี่ยอยู่ที่เพียง 3.54% ซึ่งใกล้เคียงกับบริษัทในประเทศพัฒนาแล้ว

แม้ในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจโลก บริษัทในตลาดเกิดใหม่หลายแห่งกลับมีอัตราการผิดนัดชำระหนี้ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ การขาดความเข้าใจในข้อมูลนี้เองที่ทำให้ "ต้นทุนทางการเงิน" สูงลิ่ว จนโครงการลดโลกร้อนในประเทศอย่างไทยหรือประเทศเพื่อนบ้านกลายเป็นเรื่องที่ "เข้าถึงยาก"

บริบทประเทศไทยทางรอดในฐานะประเทศกลุ่มเสี่ยง

สำหรับประเทศไทย การปรับตัวครั้งนี้ไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นทางรอด ข้อมูลจาก Global Climate Risk Index จัดให้ไทยอยู่ในกลุ่มประเทศที่ได้รับผลกระทบจากสภาพภูมิอากาศรุนแรงที่สุด 10 อันดับแรกของโลกในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา

ความเคลื่อนไหวสำคัญในไทย

Thailand Taxonomy (มาตรฐานกิจกรรมสีเขียว): ปัจจุบันประเทศไทยได้ประกาศใช้ Taxonomy ระยะที่ 1 (เน้นภาคพลังงานและขนส่ง) และกำลังขยายสู่ภาคการเกษตรและอุตสาหกรรม โดยมีเป้าหมายเพื่อให้สถาบันการเงินและบริษัทประกันภัยมีมาตรฐานเดียวกันในการระบุว่า โครงการใดคือ "ของจริง" 

บทบาทของ คปภ. (OIC): สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) กำลังเร่งขับเคลื่อนแผนพัฒนาการประกันภัยฉบับที่ 5 โดยมุ่งเน้นการสนับสนุน "Parametric Insurance" หรือการประกันภัยตามดัชนี (เช่น ปริมาณน้ำฝน หรือระดับความร้อน) เพื่อช่วยเกษตรกรและผู้ประกอบการไทยให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายขึ้น 

การตื่นตัวของภาคเอกชน: บริษัทประกันภัยยักษ์ใหญ่ในไทยเริ่มนำเกณฑ์ ESG (Environment, Social, Governance) มาใช้ในการคัดเลือกโครงการรับประกันภัย ซึ่งเป็นการบีบให้ภาคธุรกิจต้องปรับตัวสู่ความยั่งยืนโดยปริยาย

มุ่งหน้าสู่ปี พ.ศ. 2569

ในอีกสองปีข้างหน้า หรือปี พ.ศ. 2569 โลกจะได้เห็นการทดสอบโมเดลความร่วมมือระหว่างรัฐและเอกชน (Public-Private Partnerships) ครั้งใหญ่ หากทำสำเร็จ เครื่องมือประกันภัยจะสามารถเพิ่มกระแสเงินลงทุนที่สอดคล้องกับข้อตกลงปารีสได้ถึง 40%

สำหรับประเทศไทย นี่คือโอกาสทองของธุรกิจประกันภัยและสถาบันการเงินที่จะสลัดภาพลักษณ์เดิมๆ สู่การเป็นผู้นำด้านความยั่งยืนในภูมิภาคอาเซียน เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่เป้าหมาย Net Zero ในปี พ.ศ. 2608 ได้อย่างเป็นรูปธรรม

ที่มา : World Economic Forum