‘สภาพอากาศสุดขั้ว’ ดัน ‘ไมโครพลาสติก’ รุนแรงขึ้น ความร้อนทำพลาสติกละลาย น้ำท่วมพาขยะไปไกล

สภาพอากาศสุดขั้ว ทำให้สถานการณ์ “ไมโครพลาสติก” แย่ลงกว่าเดิม โดยความร้อนทำพลาสติกละลายมากขึ้น ขณะที่น้ำท่วมพาขยะไปถึงพื้นที่ห่างไกล
KEY
POINTS
- สภาพอากาศสุดขั้ว เช่น คลื่นความร้อนและไฟป่า เป็นตัวเร่งให้พลาสติกแตกสลายกลายเป็นไมโครพลาสติกได้รวดเร็วและรุนแรงขึ้น
- ภัยธรรมชาติอย่างพายุและน้ำท่วม ทำให้มลพิษจากพลาสติกแพร่กระจายไปในวงกว้างและไกลกว่าเดิม ดังตัวอย่างพายุไต้ฝุ่นในฮ่องกงที่ทำให้ความเข้มข้นของไมโครพลาสติกเพิ่มขึ้นเกือบ 40 เท่า
- ภาวะโลกร้อนทำให้อันตรายจากไมโครพลาสติกสูงขึ้น โดยอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นช่วยให้พลาสติกดูดซับและปล่อยสารปนเปื้อนที่เป็นพิษได้ง่ายขึ้น ซึ่งส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตและห่วงโซ่อาหาร
“ไมโครพลาสติก” เป็นภัยคุกคามต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของผู้คนอยู่แล้ว แต่ขณะที่โลกกำลังร้อนขึ้น ซึ่งส่งผลให้สภาพอากาศเลวร้ายยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ กำลังทำให้พลาสติกกลายเป็นมลพิษที่เคลื่อนที่ได้ คงทน และอันตรายมากขึ้น ตามผลการศึกษาใหม่
พลาสติกมากกว่า 98% ผลิตจากเชื้อเพลิงฟอสซิล และมลพิษจากสภาพอากาศถูกปล่อยออกมาในทุกขั้นตอนของวงจรชีวิต ตั้งแต่การผลิตไปจนถึงการกำจัด ซึ่งแน่นอนว่าทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
แต่ขณะเดียวกันการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเอง ก็ทำให้เกิดคลื่นความร้อนที่รุนแรงและบ่อยครั้งขึ้น รวมถึงยังทำให้เกิดไฟป่า และน้ำท่วม ซึ่งจะทำให้เกิดมลพิษจากพลาสติกมากขึ้น แพร่กระจายไปในวงกว้าง และอันตรายมากขึ้น
ทีมนักวิทยาศาสตร์ได้ศึกษาค้นคว้างานวิจัยหลายร้อยชิ้นอย่างละเอียดถี่ถ้วน และพบ หลักฐานมากมายที่บ่งชี้ว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกำลังทำให้มลพิษจากพลาสติกในน้ำ ดิน บรรยากาศ และสัตว์ป่าของเราเลวร้ายลง ตามการวิเคราะห์ที่ตีพิมพ์ในวารสาร Frontiers in Science
แฟรงก์ เคลลี ศาสตราจารย์ประจำคณะสาธารณสุขศาสตร์ อิมพีเรียลคอลเลจ ลอนดอน ซึ่งเป็นผู้เขียนหลัก กล่าวว่า มลพิษจากพลาสติกและสภาพภูมิอากาศเป็นวิกฤตการณ์ที่ทวีความรุนแรงขึ้นและส่งผลกระทบซึ่งกันและกัน
การศึกษาระบุว่า อุณหภูมิที่สูงขึ้น ความชื้น และแสงแดดต่างทำให้พลาสติกแตกร้าวและเปราะบางมากยิ่งขึ้น หากอุณหภูมิที่สูงขึ้น 10 องศาเซลเซียส จะยิ่งเร่งการแตกสลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยมากยิ่งขึ้น และในช่วงคลื่นความร้อนจัด อาจทำให้พลาสติกย่อยสลายได้เร็วขึ้นเป็นสองเท่า
เช่นเดียวกับพายุรุนแรง น้ำท่วม และลมแรงยังเร่งการสลายตัวของพลาสติก อีกทั้งยังสามารถเคลื่อนย้ายพลาสติกให้แพร่กระจายไปในวงกว้างมากขึ้น ตัวอย่างเช่น พายุไต้ฝุ่นในฮ่องกงทำให้ความเข้มข้นของไมโครพลาสติกในตะกอนชายหาดเพิ่มขึ้นเกือบ 40 เท่า
อีกประเด็นหนึ่งที่แปลกประหลาดคือ น้ำท่วมยังสร้าง “หินพลาสติก” (plastic rock) ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อหินและพลาสติกรวมตัวกันเป็นพันธะเคมี กลายเป็นจุดสำคัญที่ให้เกิดไมโครพลาสติกในสิ่งแวดล้อม
ไฟป่าที่เกิดจากอุณหภูมิสูงและภัยแล้ง เผาผลาญบ้านเรือน สำนักงาน และยานพาหนะ ปล่อยไมโครพลาสติกและสารประกอบที่เป็นพิษสูงสู่ชั้นบรรยากาศ
น้ำแข็งทะเลจะดักจับและทำให้ไมโครพลาสติกเข้มข้นขึ้น เมื่อก่อตัวขึ้น ทำให้เป็นแหล่งกักเก็บมลพิษจากพลาสติก แต่เมื่ออุณหภูมิโลกสูงขึ้นและน้ำแข็งทะเลละลาย ไมโครพลาสติกอาจกลายเป็นแหล่งมลพิษหลัก
การวิเคราะห์พบว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอาจทำให้พลาสติกเป็นอันตรายมากขึ้น
ไมโครพลาสติกเปรียบเสมือน รถบรรทุกสารต่าง ๆ เช่น ยาฆ่าแมลงและสารเคมีตลอดกาลอันตราย ที่ย่อยสลายได้ยาก กระจายไปทั่วสิ่งแวดล้อม อีกทั้งอุณหภูมิที่สูงขึ้นช่วยให้พลาสติกดูดซับและปล่อยสารปนเปื้อนที่เป็นอันตรายเหล่านี้ได้ง่ายขึ้น ขณะเดียวกันก็ปล่อยสารเติมแต่งของตัวเองออกมา เช่น สารหน่วงไฟและสารพลาสติไซเซอร์
เมื่อวิกฤติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและปัญหามลพิษจากพลาสติกมาเจอกัน ก็จะยิ่งส่งผลกระทบรุนแรงต่อสัตว์ โดยเฉพาะสัตว์ทะเลอย่างมาก
งานวิจัยเกี่ยวกับปะการัง หอยทากทะเล เม่นทะเล หอยแมลงภู่ และปลา พบว่ามลพิษจากไมโครพลาสติกทำให้พวกมันรับมือกับอุณหภูมิของมหาสมุทรที่สูงขึ้นและภาวะเป็นกรดในมหาสมุทรได้น้อยลง ซึ่งทั้งสองอย่างนี้เป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
สัตว์บางชนิดที่กินอาหารโดยการกรอง เช่น หอยแมลงภู่ มีแต่ไมโครพลาสติกเต็มไปหมด เมื่อนักล่ากินเข้าไป ยิ่งทำให้มลพิษในห่วงโซ่อาหารเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
งานวิจัยนี้เสนอแนวทางแก้ไขวิกฤตการณ์นี้หลายประการ ซึ่งรวมถึงการลดการใช้พลาสติก การนำกลับมาใช้ใหม่ และการรีไซเคิล รวมถึงการออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ และการกำจัดพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้งที่ไม่จำเป็น แต่วิธีที่จะช่วยแก้ปัญหาได้ดีที่สุดคือ จำเป็นต้องมีสนธิสัญญาพลาสติกระดับโลกที่มีผลผูกพันทางกฎหมาย ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อยุติมลพิษ
“เศรษฐกิจพลาสติกแบบหมุนเวียนนั้นสมบูรณ์แบบที่สุด ต้องก้าวข้ามการลดการใช้ นำกลับมาใช้ใหม่ และรีไซเคิล ไปสู่การออกแบบใหม่ การคิดใหม่ การปฏิเสธ การกำจัด การสร้างสรรค์นวัตกรรม และการหมุนเวียน เปลี่ยนจากการผลิตเพื่อใช้แล้วทิเงในปัจจุบัน” จูเลีย ฟัสเซลล์ ผู้ร่วมเขียนบทความจาก ICL กล่าว
อย่างไรก็ตาม การเจรจาที่ดำเนินมาหลายปียังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงใด ๆ ได้ เนื่องจากประเทศต่าง ๆ ยังคงมีความเห็นที่แตกต่างกันอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องการจำกัดการผลิตพลาสติก ซึ่งเป็นวิธีการหลักที่จะช่วยแก้ปัญหานี้ได้
ผู้เขียนรายงานระบุว่า จำเป็นต้องแก้ปัญหาพลาสติกให้ได้ในเร็ววัน เนื่องจากสถานการณ์มีแนวโน้มว่าจะเลวร้ายลง การผลิตทั่วโลกต่อปีเพิ่มขึ้น 200 เท่าระหว่างปี 1950-2023 และคาดว่าจะยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะในตอนนี้บริษัทน้ำมันเปลี่ยนการลงทุนไปสู่พลาสติก แม้ว่าโลกกำลังมุ่งหน้าสู่พลังงานสะอาดก็ตาม
“เราจำเป็นต้องดำเนินการในทันที เนื่องจากพลาสติกที่ถูกทิ้งในปัจจุบันกำลังคุกคามการรบกวนระบบนิเวศในระดับโลกในอนาคต” สเตฟานี ไรท์ ผู้เขียนรายงานและรองศาสตราจารย์ประจำคณะสาธารณสุขศาสตร์ อิมพีเรียลคอลเลจ ลอนดอน กล่าว
บทความยังเสนอแนะให้บูรณาการพลาสติกและนโยบายด้านสภาพภูมิอากาศ และใช้การวิจัย เพื่อให้นักวิทยาศาสตร์สามารถติดตามปฏิสัมพันธ์ระหว่างภาวะโลกร้อน เคมี และชีววิทยาในระบบนิเวศจริงได้
แน่นอนว่าไมโครพลาสติกยังคงไม่หายไปไหน และต่อให้มีนโยบายที่สมบูรณ์แบบก็ไม่สามารถลดอันตรายของพลาสติกที่สะสมมาหลายทศวรรษได้ แต่ทางเลือกในวันนี้จะช่วยให้อนาคตมีอนาคตที่ดีกว่าเดิม รวมถึงช่วยให้สิ่งมีชีวิตและระบบที่เปราะบางจะมีพื้นที่ให้ปรับตัว
“อนาคตจะไม่ปราศจากพลาสติก แต่เราสามารถพยายามจำกัดมลพิษจากไมโครพลาสติกที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้ เราจำเป็นต้องลงมือทำตั้งแต่ตอนนี้ เพราะพลาสติกที่ถูกทิ้งในวันนี้กำลังคุกคามระบบนิเวศในระดับโลกในอนาคต” ไรท์กล่าว







