อาชีพแรกๆ ในธุรกิจมหาวิทยาลัยที่ถูก AI ดิสรัปท์ไม่ใช่ "อาจารย์"

ตลาดแรงงานในระบบนิเวศอุดมศึกษาทั่วโลกนั้น ขึ้นชื่อเรื่องความเสี่ยงและเปราะบางมากว่า 2 ทศวรรษ โดยเฉพาะยุคที่ต้องเผชิญกับปัญหาสังคมสูงวัย อัตราการเกิดลดต่ำลงอย่างมีนัยสำคัญ
ประเทศที่ส่งออกระบบการศึกษา เช่น สหรัฐอเมริกา มีมหาวิทยาลัยเอกชนประกาศปิดตัวลงเกือบ 20 แห่งในปี 2567
ยิ่งห้วงหลังปี 2565-2566 เป็นต้นมา บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ประกาศเปิดตัว ChatGPT, Perplexity, Claude และ Bard เพื่อสานฝันการใช้หุ่นยนต์เป็นแรงงานแทนมนุษย์
อาชีพ “อาจารย์” กลายเป็นหนึ่งในหลายวิชาชีพที่ถูกหยิบยกขึ้นมาพร้อมข้อห่วงกังวลถึงตำแหน่งงานที่ลดลงไม่เว้นแม้แต่ในไทย ซึ่งในทางปฏิบัติหลายรายก็ยังอยู่ในสภาวะที่พอปรับตัวได้ ตราบเท่าที่ยังมีขีดความสามารถในการผลิตงานวิจัยสืบต่อไป
ทว่า มีอาชีพหนึ่งที่ถูกดิสรัปท์ไปเรียบร้อย แต่น้อยคนจะนึกถึง คือ นักรับจ้างทำการบ้าน/งานวิจัยเถื่อน (contract cheating) ที่ร่ำรวยอยู่นอกระบบเงียบ ๆ
ผ่านการค้าขายผลงานวิชาการคุณภาพปานกลางไปจนถึงต่ำให้นักศึกษา-นักวิชาการผู้เกียจคร้านนำไปสวมชื่อเพื่อสำเร็จหลักสูตรการศึกษามาร่วม 100 ปีในสหรัฐอเมริกา และกว่า 50 ปีในอังกฤษ
จากการประเมินของแพลตฟอร์ม Parchment อุตสาหกรรมดังกล่าวเคยมีเม็ดเงินสะพัดไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี ซึ่งแลดูค่อนข้างต่ำกว่าสภาพความเป็นจริงพอสมควร
เพราะแค่หนึ่งในมหาวิทยาลัย Top 10 ของอังกฤษก็มีนักศึกษาจากบางประเทศเอเชียตะวันออกประกาศจ้างเขียนเรียงความความยาว 3-4 หน้า A4 ด้วยอัตราเริ่มต้น 80-100 ปอนด์ต่อชิ้นให้เห็นผ่าน WeChat อยู่เนือง ๆ
ส่วนวิทยานิพนธ์นั้นยิ่งไปใหญ่ ราคา Bid ที่ 2,000-3,000 ปอนด์สำหรับ 20-25 หน้าก็มีมาแล้ว
ส่วนนักศึกษาไทยก็ไม่น้อยหน้า ห้วงก่อนโรคโควิด-19 ระบาด ราคาซื้อขายรายงานในสถานศึกษาบางแห่งเคยทะยานไปถึง 5,000 บาท สำหรับความยาวเพียง 2-3 หน้า A4 จากเดิมมักปิดการขายด้วยอัตราเพียง 3,000 บาทด้วยซ้ำ
การมี Generative AI ให้ใช้งานอย่างแพร่หลายในราคาเพียง 20 ดอลลาร์ จึงเป็นการตัดทอนแหล่งรายได้ของอุตสาหกรรมข้างต้นโดยตรง
เริ่มตั้งแต่ศูนย์กลางของวงการอย่างเคนยาที่รวมผู้เล่นในตลาดไว้ไม่ต่ำกว่า 40,000 ราย เดิมเคยรับงานได้เรือน 900-1,200 ดอลลาร์ต่อเดือน เหลือเพียงไม่เกิน 500-800 ดอลลาร์ต่อเดือน
สถานการณ์ในไทยนั้นไม่ต่างกันเท่าใดนัก แม้ไม่มีการนำสถิติมาเผยแพร่เป็นทางการ แต่เสียงที่เริ่มถี่ขึ้นคือคำปรารภจากผู้เล่นบางส่วนซึ่งได้รับผลกระทบเรื่องปริมาณความต้องการในตลาดหดตัวลง จนบางครั้งต้องปรับลดอัตราสำหรับงานประเภทร่างแผนโครงการวิจัยเหลือเพียง 4 หลัก
เพื่อฉุดรั้งลูกค้าไม่ให้ทยอยหนีไปใช้บริการระบบ Deep Research และ Extended Thinking ของ ChatGPT กันหมด โดยเฉพาะกับลูกค้ากลุ่ม Gen Z และ Alpha เนื่องจากเป็นกลุ่มที่คุ้นชิน (native) กับการใช้อุปกรณ์อำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวันมากกว่า Y, X และ Boomer
ไม่ใช่แค่เรื่องอัตราราคาเท่านั้นที่สะท้อนภาพรวมของตลาด แต่จากสถิติที่ Cursive Technology รวบรวมไว้เมื่อปี 2567 การเข้าใช้งานเว็บไซต์/แพลตฟอร์มให้บริการรับจ้างทำการบ้าน (essay mills) เองก็ลดลงเกือบ 20% (เมื่อเทียบกับห้วงเดียวกันของปี 2566)
จนเม็ดเงินในอุตสาหกรรมปรับตัวจากระหว่าง 2,000-3,000 ล้านดอลลาร์มายังประมาณ 1,700-2,000 ล้านดอลลาร์
ขณะที่แพลตฟอร์มผู้ให้บริการ AI อำนวยความสะดวกในการผลิตงานเขียน รวมถึง AI สำหรับใช้แปลงเนื้อหาให้มีความใกล้เคียงกับชิ้นงานที่ผลิตโดยมนุษย์มากขึ้น (AI Humanizer tools) นั้นกลับมีอัตราการใช้งานเพิ่มสวนทางกันกว่า 6 เท่า
ทั้งนี้ ใช่ว่าการที่อาชีพสีเทาดังกล่าวมีความสำคัญต่ำลงในระบบนิเวศมหาวิทยาลัยแล้วปัญหาทุจริตทางวิชาการจะอันตรธานไปพร้อมกัน เหนือสิ่งอื่นใดต้นตอของความเน่าเฟะทั้งปวงนั้นมาจากความเกียจคร้านและความพึงพอใจที่จะใช้เงินทุนอำนวยความสะดวกแก่ชีวิต
โดยในท้ายที่สุด ภูมิทัศน์ของการทุจริตจึงเพียงแค่ขยับจากการใช้บริการแรงงานมนุษย์ไปยัง Generative AI แทนเท่านั้น
สำคัญคือตราบที่ Generative AI ยังมีข้อบกพร่องด้านการผลิตชิ้นงานให้มีมิติความเป็นมนุษย์ และเครือข่ายมหาวิทยาลัยยังมีมาตรการเชิงรับสำหรับการกระทำลักษณะดังกล่าว เช่น Turnitin และ GPT Detector ฯลฯ
ตลาดย่อมมีพื้นที่ว่างพอจะดึงผู้เล่นที่พอมีขีดความสามารถในการปรับตัวกลับมาช่วยอำนวยความสะดวกแก่ลูกค้าดังเดิมเสมอ อยู่ที่ว่าแต่ละรายจะยอมรับสภาพแวดล้อมใหม่ และโครงสร้างอัตราค่าตอบแทนในโลกหลัง Generative AI นี้ได้มากน้อยเพียงใด
เพราะยุคที่เทคโนโลยีล้ำสมัยสามารถรังสรรค์ผลงาน ซึ่งเคยมีราคาค่างวดเริ่มต้นที่หลัก 1,000 ดอลลาร์สหรัฐได้ครบจบในเพียง 20 ดอลลาร์สหรัฐ/เดือน จะเหลือเหตุจูงใจอันใดให้ผู้เรียนนำเงินไปจ้างวานผู้เล่นในตลาดสีเทาแบบอดีตที่ผ่านมา ไม่ว่าเขาเหล่านั้นจะมีผลงานเป็นที่ประจักษ์หรือประวัติการศึกษาดีแค่ไหนก็ตาม.







