‘น้ำมันแลกน้ำ’ ดีลอิรักใช้ต่อรองตุรกี แก้ปัญหาภัยแล้งครั้งรุนแรง

‘น้ำมันแลกน้ำ’ ดีลอิรักใช้ต่อรองตุรกี แก้ปัญหาภัยแล้งครั้งรุนแรง

“อิรัก” เปิดดีลน้ำมันแลกน้ำ หวังใช้แก้ปัญหาภัยแล้งภายในประเทศ โดยจะขายน้ำมันให้ตุรกีตามจำนวน ส่วนตุรกีต้องปล่อยน้ำ สร้างเขื่อน ฟื้นฟูระบบชลประทานให้อิรัก

KEY

POINTS

  • อิรักกำลังเผชิญวิกฤตภัยแล้งรุนแรงที่สุดในรอบศตวรรษ เนื่องจากตุรกีสร้างเขื่อนกักเก็บน้ำในแม่น้ำไทกริสและยูเฟรทีส ซึ่งเป็นแหล่งน้ำหลักของประเทศ
  • รัฐบาลอิรักได้บรรลุข้อตกลง "น้ำมันแลกน้ำ" กับตุรกี โดยจะส่งออกน้ำมันดิบเพื่อนำรายได้ไปจ้างบริษัทตุรกีมาสร้างและฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานด้านน้ำในอิรัก
  • ข้อตกลงนี้ถูกมองว่าเป็นความหวังในการแก้ปัญหา แต่ก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าอาจทำให้อิรักสูญเสียอธิปไตยเหนือทรัพยากรธรรมชาติ และเป็นการนำน้ำซึ่งเป็นสิทธิมนุษยชนมาผูกกับสินค้าโภคภัณฑ์

ในอดีต “อิรัก” เป็นที่ตั้งของอารยธรรมเมโสโปเตเมีย บ่อเกิดของอารยธรรมมนุษย์และเจริญรุ่งเรืองในฐานะดินแดนระหว่างแม่น้ำสองสาย และเป็นส่วนหนึ่งของวงพระจันทร์เสี้ยวอันอุดมสมบูรณ์ แต่ในตอนนี้กำลังเผชิญหน้ากับความแห้งแล้งถึงขีดสุด เมื่อแม่น้ำไทกริสและยูเฟรทีสกลับแห้งขอดจนผู้คนสามารถเดินข้ามไปมาได้

ท่ามกลางภาวะภัยแล้งที่รุนแรงที่สุดในรอบเกือบศตวรรษ และแรงกดดันจากการสร้างเขื่อนที่เพิ่มมากขึ้นในประเทศต้นน้ำ ทำให้อิรักจำเป็นต้องตัดสินใจใช้ “น้ำมันดิบ” ทรัพย์สินที่มีค่าที่สุดของชาติ เป็นเครื่องต่อรองแลกกับน้ำ เพื่อต่อชีวิตให้แก่ประชากรกว่า 46 ล้านคน ท่ามกลางเสียคัดค้านมากมาย

 

วิกฤติภัยแล้งครั้งใหญ่

สาเหตุที่ทำให้อิรักต้องเผชิญภาวะขาดแคลนน้ำครั้งเลวร้ายที่สุดในรอบหลายทศวรรษ เกิดจากหลายปัจจัยด้วยกัน ทั้งจากภูมิศาสตร์ การเมือง และความล้มเหลวในการบริหารจัดการน้ำ โดยปัจจัยหลักมาจากการกักเก็บน้ำของเพื่อนบ้าน

ปริมาณน้ำกว่า 70% ของอิรักไหลมาจากประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะผ่านแม่น้ำไทกริสและยูเฟรทีสที่มีต้นกำเนิดในตุรกี ในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา ตุรกีได้สร้างเขื่อนขนาดใหญ่หลายแห่งในแม่น้ำสายหลักเหล่านี้ ส่งผลให้ปริมาณน้ำที่ไหลเข้าสู่กรุงแบกแดดลดลงถึง 33% อย่างมีนัยสำคัญ นอกจากตุรกีแล้ว อิหร่านและซีเรียยังมีการสร้างเขื่อนและเบี่ยงทางน้ำจากแม่น้ำสายย่อยที่ไหลลงสู่ไทกริส ยิ่งทำให้ปริมาณน้ำที่เข้าสู่อิรักลดลงอย่างต่อเนื่อง

ปัจจัยเหล่านี้ถูกซ้ำเติมด้วยสภาวะการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่ทำให้อิรักเผชิญกับปริมาณน้ำฝนที่ลดลงถึง 30% และความต้องการน้ำที่เพิ่มขึ้นจากการขยายตัวของประชากรในเขตเมือง ยิ่งไปกว่านั้น โครงสร้างพื้นฐานด้านน้ำของอิรักยังอยู่ในสภาพทรุดโทรมจากการผ่านสงครามและการคว่ำบาตรมานานหลายทศวรรษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่กองทัพสหรัฐ มุ่งเป้าทำลายระบบโครงสร้างพื้นฐานในปฏิบัติการพายุทะเลทราย เมื่อปี 1991 ทำให้โรงบำบัดน้ำเสียถูกทำลายและน้ำเสียไหลลงสู่แม่น้ำโดยตรง 

จนถึงปัจจุบัน มีครัวเรือนในเมืองเพียง 30% เท่านั้นที่เชื่อมเข้ากับระบบบำบัดน้ำเสีย และในพื้นที่ชนบทตัวเลขนี้ลดลงเหลือเพียง 1.7% ความล้มเหลวในการจัดการน้ำยังรวมถึงการใช้ทรัพยากรอย่างฟุ่มเฟือยในภาคเกษตรกรรม ซึ่งใช้น้ำมากถึง 80-85% ของทรัพยากรน้ำทั้งหมด แต่ส่วนใหญ่เป็นการชลประทานที่ล้าสมัยและสูญเสียน้ำจำนวนมาก

เมื่อรวมกับปัญหาการทุจริตและการบริหารจัดการที่ผิดพลาดของรัฐบาล ทำให้อิรักเสียเปรียบอย่างยิ่งในการเจรจาต่อรองเรื่องน้ำกับประเทศเพื่อนบ้าน

ข้อมูลจากองค์การระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐาน (IOM) ระบุว่า มีประชาชนมากกว่า 168,000 คนต้องกลายเป็นผู้พลัดถิ่นเนื่องจากความกดดันทางสภาพอากาศและภัยแล้ง ภาคเกษตรกรรมที่เคยเป็นกระดูกสันหลังของชาติกำลังล่มสลาย เกษตรกรจำนวนมากต้องทิ้งไร่นาที่สืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคนเพื่อไปทำงานรับจ้างชั่วคราวหรือเปลี่ยนอาชีพไปเป็นคนขับแท็กซี่ 

ดังเช่นเรื่องราวของ ฮุสซัม อานิซาน ที่ต้องขายไร่ส้มพื้นที่กว่า 37 ไร่ เนื่องจากไม่มีน้ำมาทำไร่ เขากล่าวด้วยความสะเทือนใจว่า “มันเจ็บปวดมากที่เห็นที่ดินของผมกลายเป็นหมู่บ้านจัดสรร ผมใจสลายเมื่อต้องขายฟาร์มไป” หรือกรณีของ อาห์เหม็ด อัล-จาชามี อดีตเกษตรกรที่ต้องยืนมองสวนผลไม้ของพ่อเหี่ยวเฉาและตายลงเนื่องจากขาดน้ำ

นอกจากมิติทางเศรษฐกิจแล้ว วิกฤตินี้ยังอันตรายต่อสุขภาพ ในปี 2018 ชาวเมืองบาสรากว่า 118,000 คนต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลจากการดื่มน้ำที่ปนเปื้อนมลพิษ

ขณะที่ กลุ่มความเชื่อทางศาสนาโบราณอย่างชาวแมนเดียน (Mandaeans) ที่อาศัยอยู่ในลุ่มน้ำทางตอนใต้มานานกว่าพันปี น้ำที่ไหลเวียนในแม่น้ำเปรียบเสมือนหัวใจสำคัญของพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ตั้งแต่การเกิดจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต หากแม่น้ำไทกริสไม่มีน้ำ วัฒนธรรมและชุมชนโบราณเหล่านี้ก็เสี่ยงที่จะสูญสิ้นไปจากดินแดนอิรักตลอดกาล

“สำหรับศาสนาของเรา น้ำนั้นเปรียบเสมือนอากาศ หากไม่มีน้ำ ก็ไม่มีชีวิต” ชีค นิดฮัม เครดี อัล-ซาบาฮี ผู้นำทางศาสนากล่าวด้วยน้ำเสียงแห่งความกังวล 

 

“น้ำมันแลกน้ำ” ทางออกเชิงยุทธศาสตร์หรือการเดิมพันอธิปไตย?

เพื่อแก้หายนะนี้ รัฐบาลอิรักภายใต้นายกรัฐมนตรี โมฮัมเหม็ด เซีย อัล-ซูดานี จึงได้บรรลุข้อตกลงครั้งประวัติศาสตร์กับตุรกีในชื่อ “ข้อตกลงกรอบความร่วมมือด้านน้ำ” (Water Cooperation Framework Agreement) ซึ่งถูกเรียกว่าเป็น “ดีลน้ำมันแลกน้ำ” ภายใต้ข้อตกลงนี้ อิรักจะส่งออกน้ำมันดิบให้กับตุรกีในปริมาณที่กำหนด และนำรายได้จากการขายน้ำมันนั้นฝากเข้าในกองทุนเฉพาะ เพื่อนำไปจ่ายให้กับบริษัทของตุรกีที่จะเข้ามาเป็นผู้ดำเนินโครงการสร้างและฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานด้านน้ำในอิรัก

โครงการระยะแรกจะรวมถึงการสร้างเขื่อนเก็บกักน้ำ 3 แห่ง และโครงการปฏิรูปที่ดินอีก 3 โครงการ ตลอดจนการนำเทคโนโลยีการชลประทานสมัยใหม่มาใช้เพื่อหยุดยั้งการสูญเสียน้ำ

ในสายตาของรัฐบาลอิรัก ข้อตกลงนี้คือเครื่องมือที่จะรับประกันความมั่นคงในระยะยาว ทอร์ฮัน อัล-มุฟตี ที่ปรึกษาด้านกิจการน้ำของนายกรัฐมนตรีระบุว่า “นี่เป็นครั้งแรกที่มีกลไกที่ชัดเจนและมีผลผูกพันเพื่อความยั่งยืนของน้ำในแม่น้ำไทกริสและยูเฟรทีส ซึ่งจะช่วยให้มั่นใจได้ว่าจะมีปริมาณน้ำไหลเข้าประเทศอย่างต่อเนื่องตามความต้องการที่แท้จริง” 

ขณะเดียวกัน ฝั่งตุรกีโดยประธานาธิบดี เรเจป ไตยิป แอร์โดอัน ก็มองว่าดีลนี้เป็นประโยชน์ต่อความมั่นคงในภูมิภาคและช่วยสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้แก่ตุรกี โดยเฉพาะการนำน้ำมันจากอิรักมาทดแทนน้ำมันจากรัสเซีย

อย่างไรก็ตาม ข้อตกลงนี้กลับถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากนักนโยบายน้ำและนักการเมืองบางกลุ่ม ชูรุก อลาบายาชี ผู้เชี่ยวชาญด้านนโยบายน้ำเตือนว่า “น้ำคือสิทธิมนุษยชนและไม่ควรถูกทำให้เป็นสินค้าที่ผูกโยงกับรายได้จากน้ำมัน” โดยเธอมองว่าข้อตกลงนี้เบี่ยงเบนไปจากหลักการสากลของการทูตด้านน้ำและอาจไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาที่แท้จริงหากไม่มีการปฏิรูปภาคเกษตรกรรมภายในประเทศอย่างจริงจัง 

นอกจากนี้ นักวิเคราะห์อย่าง นาตาชา ฮอลล์ ยังแสดงความกังวลว่าการที่ตุรกีเข้ามาควบคุมโครงสร้างพื้นฐานสำคัญอาจทำให้อิรักสูญเสียอำนาจอธิปไตยเหนือทรัพยากรธรรมชาติของตนเองในระยะยาว และทำให้อิรักตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของตุรกีอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้แต่นักการเมืองบางรายยังตั้งข้อสังเกตว่านี่อาจเป็นเพียงการสร้างภาพทางการเมืองก่อนการเลือกตั้งเท่านั้น

ท่ามกลางเสียงวิจารณ์และความซับซ้อนทางการเมือง สำหรับประชาชนที่ต้องเผชิญกับแผ่นดินที่แตกระแหง ข้อตกลงนี้คือความหวังเดียวที่เหลืออยู่ ดังที่ฮุสซัม อานิซาน อดีตเกษตรกรกล่าวทิ้งท้ายไว้ว่า “ลองมาดูกันว่าดีลนี้จะเป็นอย่างไร บางทีเราอาจจะได้เห็นความหวังอีกครั้ง”

วิกฤติน้ำในอิรักเป็นเครื่องเตือนใจถึงความเปราะบางของอารยธรรมมนุษย์ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของโลก การแก้ปัญหานี้จึงต้องการมากกว่าเพียงแค่เงินทุนหรือการก่อสร้าง แต่ต้องการการบริหารจัดการที่โปร่งใส การทูตที่ชาญฉลาด และการตระหนักถึงคุณค่าของทรัพยากรที่หล่อเลี้ยงชีวิต


ที่มา: CNNReutersThe Guardian