‘ฟาสต์แฟชั่น’ เกาหลีใต้โตเร็ว ตามค่านิยมภาพลักษณ์ต้องดูดี สร้างขยะสิ่งทอ-ปล่อยคาร์บอนมหาศาล

‘ฟาสต์แฟชั่น’ เกาหลีใต้โตเร็ว ตามค่านิยมภาพลักษณ์ต้องดูดี สร้างขยะสิ่งทอ-ปล่อยคาร์บอนมหาศาล

‘ฟาสต์แฟชั่น’ เกาหลีใต้โตเร็ว ตามค่านิยมภาพลักษณ์ต้องดูดี สร้างขยะสิ่งทอ ปล่อยคาร์บอนมหาศาล เร่งออกกฎหมายแก้ปัญหา ปลูกจิตสำนึกใส่ซ้ำ ไม่ซื้อบ่อย

KEY

POINTS

  • ค่านิยม "ภาพลักษณ์ต้องมาก่อน" ของชาวเกาหลีใต้เป็นปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนการเติบโตของอุตสาหกรรมฟาสต์แฟชั่น ส่งผลให้เกิดปัญหาขยะสิ่งทอปริมาณมหาศาล
  • เกาหลีใต้เผชิญกับวิกฤตขยะเสื้อผ้า เนื่องจากขาดโครงสร้างพื้นฐานในการรีไซเคิลที่มีประสิทธิภาพ ทำให้ขยะส่วนใหญ่ถูกส่งออก เผา หรือฝังกลบ
  • มีความพยายามผลักดันการออกกฎหมาย "ความรับผิดชอบที่เพิ่มขึ้นของผู้ผลิต" (EPR) เพื่อบังคับให้แบรนด์เสื้อผ้าต้องรับผิดชอบในการจัดการขยะที่เกิดจากผลิตภัณฑ์ของตนเอง

ฟาสต์แฟชั่น” เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่ทำลายสิ่งแวดล้อม ตั้งแต่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกในการผลิตเสื้อผ้า ไปจนถึงการกำจัดขยะ แต่ตอนนี้ธุรกิจฟาสต์แฟชั่นของ “เกาหลีใต้” เติบโตอย่างรวดเร็ว 

ช่วงระหว่างเดือนมีนาคม 2024 ถึงกุมภาพันธ์ 2025 ชาวเกาหลีใต้ทุ่มเงินไปกับผลิตภัณฑ์แฟชั่นรวมมูลค่าเกือบ 58,000 ล้านดอลลาร์ ความต้องการบริโภคที่มหาศาลนี้ไม่ได้เกิดขึ้นจากความจำเป็นพื้นฐานเพียงอย่างเดียว แต่ถูกขับเคลื่อนด้วยค่านิยมทางสังคมที่ฝังรากลึก 

จอง จูยอน ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ Wear Again Lab องค์กรไม่แสวงหากำไรที่รณรงค์เรื่องความยั่งยืนในแฟชั่น กล่าวว่า “สำหรับชาวเกาหลีใต้แล้ว รูปลักษณ์ภายนอกเป็นสิ่งสำคัญมาก ตั้งแต่การมีรถคันใหญ่ไปจนถึงการมีเสื้อผ้ามากมาย” ค่านิยมที่เน้นความสวยงามนี้เองที่ส่งผลให้ K-beauty และ K-fashion ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย 

จูยอนอธิบายเพิ่มเติมว่า ในอดีตผู้คนอาจไม่สามารถซื้อหาเสื้อผ้าได้บ่อยนัก แต่ในปัจจุบันด้วยรูปแบบธุรกิจฟาสต์แฟชั่นที่เน้นสินค้าราคาถูกแต่คุณภาพต่ำ ทำให้ทุกคนสามารถเข้าถึงแฟชั่นได้ง่ายขึ้น และก็นำไปสู่การทิ้งเสื้อผ้าได้ง่ายขึ้นด้วยเช่นกัน

รายงานจากสถาบันสิ่งแวดล้อมเกาหลีระบุว่า มีเสื้อผ้าและสิ่งทอถูกทิ้งเป็นขยะทั่วประเทศประมาณ 800,000 ตันในแต่ละปี ขณะที่การคำนวณจากหน่วยงานวิจัยของรัฐสภาเกาหลีใต้ (NARS) พบว่าแบรนด์ต่าง ๆ มีการผลิตเสื้อผ้าออกมามากถึงปีละ 900,000 ตัน โดยเสื้อผ้าเหล่านี้มักถูกสวมใส่เพียงระยะเวลาสั้น ๆ ก่อนจะถูกกำจัดทิ้ง

ปัญหานี้ไม่ได้ส่งผลกระทบเพียงแค่เรื่องพื้นที่ฝังกลบขยะเท่านั้น แต่อุตสาหกรรมสิ่งทอในเกาหลีใต้ยังปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากถึง 10% ของภาคอุตสาหกรรมทั้งหมดในประเทศ สอดคล้องกับภาพรวมทั่วโลกที่อุตสาหกรรมแฟชั่นสร้างมลพิษทางอากาศสูงถึง 8% ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมด นับเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่สร้างมลพิษมากที่สุดในโลกปัจจุบัน

อุปสรรคสำคัญที่ทำให้เกาหลีใต้ยังไม่สามารถจัดการกับวิกฤตนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ คือการขาดโครงสร้างพื้นฐานในการรีไซเคิลสิ่งทอที่ได้รับการควบคุมอย่างเป็นระบบ ปัจจุบันมีขยะสิ่งทอในประเทศประมาณ 12-20% เท่านั้นที่ถูกนำกลับมาเข้ากระบวนการรีไซเคิลภายในประเทศ

ส่วนที่เหลือหากไม่ถูกนำไปเผาหรือฝังกลบ ก็จะถูกส่งออกไปยังต่างประเทศ โดยขยะสิ่งทอประมาณ 40% ถูกส่งออกไปยังภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรือแอฟริกา หรือถูกนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าต่ำ เช่น สินค้าใช้ครั้งเดียวทิ้งหรือฉนวนกันความร้อนในโรงงานอุตสาหกรรม

จูยอน ระบุว่า กล่องรับบริจาคเสื้อผ้าเกือบทั้งหมดเป็นของภาคเอกชน โดยที่รัฐบาลไม่ได้ควบคุมถือเป็นจุดบอดใหญ่ เพราะการจัดการขยะเสื้อผ้าประมาณ 80% ดำเนินการโดยเอกชน ทำให้ขาดข้อมูลที่ชัดเจนเกี่ยวกับปริมาณและวิธีการจัดการขยะที่แท้จริง อีกทั้งเจ้าของธุรกิจบางส่วนยังพยายามล็อบบี้ เพื่อต่อต้านการออกกฎหมายควบคุม เนื่องจากการส่งออกขยะสิ่งทอสร้างรายได้ให้มหาศาล

อย่างไรก็ตาม แรงกดดันจากกระแสโลกและความตระหนักถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมเริ่มส่งผลให้เกิดความพยายามในการปฏิรูปกฎหมาย คิม โซ-ฮี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากพรรคพลังประชาชน ร่วมกับกระทรวงภูมิอากาศ พลังงาน และสิ่งแวดล้อม ได้เริ่มผลักดันมาตรการที่เรียกว่า นโยบายความรับผิดชอบที่เพิ่มขึ้นของผู้ผลิต (Extended Producer Responsibility หรือ EPR) ซึ่งเป็นแนวทางที่จะบังคับให้ผู้ผลิตเสื้อผ้าต้องเป็นผู้รับผิดชอบในการจัดการขยะที่เกิดจากผลิตภัณฑ์ของตนเอง 

คิม คยอง-มิน เจ้าหน้าที่วิจัยด้านกฎหมายจาก NARS ระบุว่าการนำ EPR มาใช้จะต้องได้รับความยินยอมจากผู้ผลิตและต้องมีการทดสอบระบบประมาณสองปีก่อนจะบังคับใช้จริง เธอเน้นย้ำว่านี่ไม่ใช่เพียงเรื่องของการรักษาสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ยังเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ธุรกิจอยู่รอดได้ เนื่องจากบริษัทเกาหลีใต้ที่ไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานด้านความยั่งยืน (ESG) อาจต้องเผชิญกับกำแพงทางการค้าในตลาดโลก โดยเฉพาะจากกฎระเบียบของสหภาพยุโรปที่เริ่มบังคับใช้การคัดแยกขยะสิ่งทออย่างเข้มงวด

นอกเหนือจากมิติทางกฎหมาย รัฐบาลเกาหลีใต้ยังได้เริ่มลงทุนในด้านเทคโนโลยีเพื่อสร้างระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน ด้วยการประกาศลงทุนมูลค่า 24.7 ล้านดอลลาร์ เพื่อสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีรีไซเคิลเส้นใยโพลีเอสเตอร์ผสม ซึ่งเป็นส่วนประกอบหลักของขยะสิ่งทอในปัจจุบัน 

ขณะเดียวกัน ภาคประชาสังคมอย่าง Wear Again Lab ก็ได้พยายามสร้างความเปลี่ยนแปลงจากฐานรากผ่านกิจกรรมสร้างสรรค์ เช่น การจัดงานแลกเปลี่ยนเสื้อผ้า และเวิร์กช็อปซ่อมแซมเสื้อผ้ากว่า 50 ครั้งต่อปีทั่วประเทศ เพื่อเปลี่ยนทัศนคติของผู้บริโภคให้หันมาสนใจการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่ามากกว่าการวิ่งตามกระแสแฟชั่น

จูยอน กล่าวว่ากิจกรรมเหล่านี้จัดทำขึ้นเพื่อทำให้การรักษาสิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องที่สนุกสนานเพื่อความยั่งยืนในระยะยาว โดยเธอกล่าวทิ้งท้ายอย่างหนักแน่นว่า “เราต้องจัดการกับขยะของเราด้วยตัวเอง”

แม้ว่าในปี 2025 ตลาดเสื้อผ้ามือสองในเกาหลีใต้จะเติบโตอย่างก้าวกระโดดจนคาดว่าจะมีมูลค่าถึง 30,000 ล้านดอลลาร์ แต่เหล่าผู้เชี่ยวชาญยังคงเตือนว่าแฟชั่นมือสองไม่สามารถแก้ปัญหาได้ทั้งหวด หากพฤติกรรมการบริโภคเกินขีดจำกัดยังไม่เปลี่ยนแปลง สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการที่ผู้บริโภคต้องซื้อให้น้อยลงและใช้งานเสื้อผ้าให้ยาวนานขึ้น ควบคู่ไปกับระบบการจัดการขยะที่มีธรรมาภิบาล 

คยอง-มิน ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการมีกฎหมาย โดยยกตัวอย่าง การใช้กฎหมายจัดการขยะอาหารเป็นประเทศแรกของโลก ตั้งแต่ปี 2005 ซึ่งยังคงได้ผลมาถึงปัจจุบัน “มันพิสูจน์ให้เห็นว่าการปรับปรุงทางกฎหมายและฉันทามติทางสังคมสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงที่มีความหมายได้ในระยะเวลาอันสั้น”

บทเรียนจากอดีตนี้เองที่อาจเป็นกุญแจสำคัญในการแก้ปัญหาวิกฤติขยะฟาสต์แฟชั่น เพื่อให้แฟชั่นของเกาหลีใต้ก้าวไปสู่ความสวยงามที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง


ที่มา: Daily SabahEarthKorea Times