นโยบายสิ่งแวดล้อมอะไรบ้าง จะได้ใจคนไทยในปี 2026 จากการหาเสียงสู่การทำจริง

ในปี 2026 นโยบายสิ่งแวดล้อมที่จะได้ใจคนไทย ต้องเป็นนโยบายที่แปรเปลี่ยนเป็นการลงมือทำได้จริงและวัดผลได้ชัดเจน ตั้งแต่การแก้ปัญหาฝุ่น PM2.5 โรงงานสีเทาและขยะอุตสาหกรรม ผลักดันกฎหมายอากาศสะอาดและกฎหมายสิ่งแวดล้อมที่บังคับใช้ได้จริง
KEY
POINTS
- พรรคการเมืองต้องเร่งผลักดันและปฏิรูปกฎหมายสิ่งแวดล้อมที่สำคัญ เช่น พ.ร.บ.อากาศสะอาด, พ.ร.บ.โรงงาน และ พ.ร.บ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อแก้ปัญหามลพิษอย่างเป็นระบบ
- ต้องประกาศเป้าหมายที่ชัดเจนและตรวจสอบได้ เช่น การกำจัดโรงงานสีเทา, การลดฝุ่น PM2.5 และจุดความร้อนลงทุกปี, การเพิ่มพื้นที่ป่าไม้ และการจัดการขยะให้หมดไป
- ต้องมีนโยบายส่งเสริมพลังงานสะอาดเพื่อลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล พร้อมยกระดับแผนการจัดการภัยพิบัติทางธรรมชาติ และบังคับใช้กฎหมายอย่างโปร่งใสและเด็ดขาด
ท่ามกลางวิกฤติฝุ่นพิษ ภัยพิบัติถี่ขึ้น และโลกร้อนที่ไม่รอใคร “นโยบายสิ่งแวดล้อม” กำลังกลายเป็นสนามวัดใจพรรคการเมืองไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อคำสัญญาหาเสียงไม่อาจกลบปัญหา PM2.5 โรงงานสีเทา และขยะภูเขาทั่วประเทศได้อีกต่อไป หากพรรคการเมืองยังไม่กล้าปฏิรูปกฎหมาย กล้าชนกลุ่มผลประโยชน์ และกล้าตั้งเป้าหมายสิ่งแวดล้อมที่ตรวจสอบได้ ก็ยากจะได้ “หัวใจคนไทย” ในยุคที่คุณภาพชีวิตและความอยู่รอดกำลังถูกทดสอบทุกวัน
ดร.สนธิ คชวัฒน์ นักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ให้ความเห็นว่า การตัดสินใจเลือกพรรคการเมืองของประชาชนในประเทศพัฒนาแล้ว มักพิจารณาจากนโยบายที่ประกาศไว้อย่างรอบด้าน ทั้งเศรษฐกิจ สังคม คุณภาพชีวิต และสิ่งแวดล้อมเป็นหลัก เช่นเดียวกับประเทศไทยที่กำลังเผชิญวิกฤติด้านมลพิษ ภัยพิบัติ และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างเข้มข้นมากขึ้น นโยบายสิ่งแวดล้อมจึงไม่ใช่เรื่องรอง แต่เป็นหัวใจสำคัญที่พรรคการเมืองต้องกล้าผลักดันอย่างจริงจัง หากต้องการได้ใจประชาชนและสร้างความเชื่อมั่นในการบริหารประเทศระยะยาว โดยเฉพาะการเร่งรัดกฎหมายด้านสิ่งแวดล้อมที่ค้างคาและยังไม่ตอบโจทย์ปัญหาปัจจุบัน
ดร.สนธิ ระบุว่า กฎหมายสำคัญที่ควรเร่งผลักดัน ได้แก่ พ.ร.บ.อากาศสะอาด เพื่อจัดการฝุ่น PM2.5 และมลพิษจากแหล่งกำเนิดต่างๆ แต่จำเป็นต้องปรับแก้บางประเด็นเพื่อลดความขัดแย้งและความซ้ำซ้อนกับกฎหมายอื่น ควบคู่กับการปรับปรุง พ.ร.บ.โรงงานฉบับใหม่ เพื่อแก้ปัญหา “โรงงานสีเทา” แยกโรงงานปกติออกจากโรงงานที่มีความเสี่ยงสูง ปรับขั้นตอนอนุญาตให้ทันสมัย และเพิ่มบทลงโทษให้รุนแรงและมีผลจริง
นอกจากนี้ยังเสนอให้ปรับปรุง พ.ร.บ.การสาธารณสุข พ.ศ. 2535 โดยเปลี่ยนชื่อเป็น “พ.ร.บ.อนามัยสิ่งแวดล้อม” ให้กระทรวงมหาดไทยดูแล และกระจายอำนาจให้ท้องถิ่นกำกับเฉพาะกิจการขนาดเล็ก ขณะที่กิจการอันตรายต้องรับฟังความคิดเห็นประชาชนอย่างเคร่งครัด เช่น โรงงานพลุ ดอกไม้ไฟ โกดังเก็บสารเคมีอันตราย พร้อมผลักดัน พ.ร.บ.การรายงานและเปิดเผยข้อมูลการปล่อยและเคลื่อนย้ายสารมลพิษ เพื่อบังคับให้โรงงานเปิดเผยข้อมูลการปล่อยสารพิษสู่สิ่งแวดล้อมอย่างโปร่งใส และ พ.ร.บ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่ตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 47% ภายในปี 2035 เพื่อมุ่งสู่ Net Zero ในปี 2050 ผ่านกลไกราคาคาร์บอนและการสนับสนุนพลังงานสะอาด
ขณะเดียวกัน ประเทศไทยยังต้องยกระดับการบริหารจัดการภัยพิบัติจากธรรมชาติ ทั้งน้ำท่วม แผ่นดินไหว สึนามิ หลุมยุบ ฝุ่น PM2.5 และคลื่นความร้อน โดยต้องมีแผนที่ชัดเจนตั้งแต่การเตรียมพร้อม การสื่อสารความเสี่ยง แผนเผชิญเหตุ การอพยพ และการฟื้นฟู ที่ทำงานประสานกันได้จริงทั้งส่วนกลางและท้องถิ่น พร้อมผลักดันการใช้พลังงานสะอาดในภาคอุตสาหกรรมและคมนาคมขนส่ง เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ ลม ไฮโดรเจน และการนำขยะมารีไซเคิลเป็นพลังงาน เพื่อลดการพึ่งพาฟอสซิลให้มากที่สุด
นอกจากนี้ พรรคการเมืองต้องกล้าประกาศเป้าหมายที่ตรวจสอบได้ ไม่ให้มีโรงงานสีเทา การลักลอบฝังกลบกากอุตสาหกรรมต้องหมดไป การอนุญาตและบังคับใช้กฎหมายต้องโปร่งใส เด็ดขาด ฝุ่น PM2.5 และจุดความร้อนต้องลดลงทุกปี พื้นที่ป่าต้องเพิ่มเป็นร้อยละ 40 ภายในปี 2579 ขยะมูลฝอยกว่า 2,000 แห่งต้องถูกจัดการให้หมด ขยะอาหารต้องลดลง 50% ภายในปี 2573 รวมถึงต้องมีนโยบายจัดการมลพิษข้ามแดนและการตอบโต้ภัยพิบัติอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งหมดนี้คือบทพิสูจน์ว่านโยบายสิ่งแวดล้อมไม่ใช่คำสัญญาเชิงนามธรรม แต่เป็นมาตรการที่ประชาชนรอคอยให้เกิดขึ้นจริง







