ภัยพิบัติ 2025 สภาพอากาศสุดขั้ว จากคลื่นความร้อน สู่น้ำท่วมใหญ่

ภาวะโลกร้อนทำให้พายุและฝนมรสุมมีความรุนแรงขึ้น ก่อให้เกิดอุทกภัยครั้งใหญ่ในเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สร้างความเสียหายเป็นวงกว้าง
KEY
POINTS
- ปี 2025 มีแนวโน้มเป็นปีที่ร้อนที่สุดเป็นอันดับ 2 ในประวัติศาสตร์ ส่งผลให้เกิดคลื่นความร้อนรุนแรงและไฟป่าขนาดใหญ่ในหลายภูมิภาคทั่วโลก
- ภาวะโลกร้อนทำให้พายุและฝนมรสุมมีความรุนแรงขึ้น ก่อให้เกิดอุทกภัยครั้งใหญ่ในเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สร้างความเสียหายเป็นวงกว้าง
- ความพยายามแก้ไขปัญหาระดับโลกเผชิญอุปสรรค โดยการประชุม COP30 ล้มเหลวในการกำหนดเป้าหมายยุติการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล และการเจรจาสนธิสัญญาพลาสติกโลกยังไม่บรรลุข้อตกลง
- ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) มีคำวินิจฉัยเชิงประวัติศาสตร์ว่ารัฐบาลมีพันธกรณีทางกฎหมายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพื่อต่อสู้กับภาวะโลกร้อน
ปี 2025 กลายเป็นปีที่โลกต้องเผชิญหน้ากับความจริงของวิกฤตโลกร้อนและความยั่งยืนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ใช่เพียงผ่านตัวเลขอุณหภูมิที่พุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ แต่ผ่านเหตุการณ์ทางการเมือง นโยบาย และกฎหมายระหว่างประเทศที่สะท้อนทั้งความคืบหน้าและความล้มเหลวของการจัดการปัญหาสิ่งแวดล้อมในระดับโลก
ขณะที่โลกกำลังมุ่งหน้าเป็นปีที่ร้อนที่สุดเป็นอันดับต้น ๆ ในประวัติศาสตร์ การเจรจาระหว่างประเทศบางเวทีกลับไม่อาจแตะประเด็นเชื้อเพลิงฟอสซิลได้อย่างจริงจัง สนธิสัญญาสำคัญด้านพลาสติกยังไม่บรรลุผล และนโยบายพลังงานของบางประเทศสวนทางกับเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
การทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นตลอดปี 2025 จึงไม่ใช่เพียงการสรุปเหตุการณ์ด้านสิ่งแวดล้อม แต่คือการมองเห็นภาพรวมของโลกที่กำลังยืนอยู่บนทางแยกระหว่างความล่าช้าในการตัดสินใจ กับโอกาสสุดท้ายในการเปลี่ยนทิศทางสู่อนาคตที่ยั่งยืน ก่อนที่วิกฤตโลกร้อนจะกลายเป็นสภาวะปกติถาวรของมนุษยชาติ
ปีที่ร้อนที่สุดอันดับ 2 ในประวัติศาสตร์
ปี 2025 มีแนวโน้มจะถูกบันทึกเป็น ปีที่ร้อนที่สุดเป็นอันดับ 2 ร่วมในประวัติศาสตร์ สะท้อนแนวโน้มภาวะโลกร้อนที่รุนแรงต่อเนื่องตลอดทศวรรษที่ผ่านมา จากข้อมูลของโครงการติดตามโลกของสหภาพยุโรป โดยรายงานล่าสุดของ Copernicus Climate Change Service (C3S) ระบุว่า ปีนี้มีความเป็นไปได้สูงมากที่จะจบลงในอันดับที่ 2 หรือ 3 ของปีที่ร้อนที่สุด นับตั้งแต่เริ่มมีการบันทึกข้อมูลราวปี ค.ศ.1850
รายงานเดือนธันวาคมของ C3S ระบุว่า ค่าเบี่ยงเบนอุณหภูมิเฉลี่ยโลกในช่วงเดือนมกราคมถึงพฤศจิกายน 2025 อยู่ที่ สูงกว่าค่าเฉลี่ยช่วงปี 1991–2020 ถึง 0.60 องศาเซลเซียส หรือคิดเป็น 1.48 องศาเซลเซียส เมื่อเทียบกับระดับก่อนยุคอุตสาหกรรม (1850–1900) ซึ่งเทียบเท่ากับค่าที่บันทึกไว้ตลอดทั้งปี 2023 ซึ่งปัจจุบันเป็นปีที่ร้อนที่สุดเป็นอันดับสอง สะท้อนว่าความร้อนสุดขั้วกำลังกลายเป็นภาวะปกติใหม่ของโลก
นักวิทยาศาสตร์ชี้ว่า การเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิและคลื่นความร้อนรุนแรงเป็นผลโดยตรงจากการสะสมของ ก๊าซเรือนกระจก ในชั้นบรรยากาศที่ดักเก็บความร้อนและทำให้อุณหภูมิพื้นผิวโลกสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยตลอด 10 ปีที่ผ่านมา ล้วนติดอันดับปีที่ร้อนที่สุดในประวัติศาสตร์ทั้งหมด ขณะที่ปี 2024 ขึ้นแท่นเป็นปีที่ร้อนที่สุด ทำลายสถิติของปี 2023 และยังเป็นปีแรกที่อุณหภูมิโลกเฉลี่ยสูงเกิน 1.5 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นเส้นเตือนสำคัญตามข้อตกลงปารีสด้านสภาพภูมิอากาศ
ในทวีปยุโรปและอเมริกาเหนือ คลื่นความร้อนยาวนานทำให้อุณหภูมิพุ่งแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ หลายประเทศประกาศภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุข จากจำนวนผู้เสียชีวิตและเจ็บป่วยที่เกี่ยวข้องกับความร้อนเพิ่มขึ้น ขณะที่ไฟป่าขนาดใหญ่ในสหรัฐฯ แคนาดา และแถบเมดิเตอร์เรเนียน เผาผลาญพื้นที่ป่าและชุมชน ส่งผลให้ประชาชนหลายแสนคนต้องอพยพ
ข้อตกลง COP30 เลี่ยงต้นตอโลกร้อน
การประชุมโลกร้อน COP30 ต้องเผชิญเสียงวิพากษ์อย่างหนัก หลังข้อตกลงฉบับสุดท้าย ไม่ระบุถึงการยุติการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของภาวะโลกร้อน แม้ตลอดสองสัปดาห์ของการเจรจาจะมีประเทศทั้งกำลังพัฒนาและพัฒนาแล้วกว่า 80 ประเทศ รวมถึงองค์กรภาคประชาชนมากกว่า 100 แห่ง เรียกร้องให้การประชุมกำหนดทิศทางและกรอบเวลาที่ชัดเจนในการเปลี่ยนผ่านออกจากพลังงานฟอสซิลอย่างเป็นระบบ แต่ข้อเสนอดังกล่าวกลับไม่ถูกรวมไว้ในเอกสารสรุปอย่างเป็นทางการ ท่ามกลางแรงกดดันจากประเทศผู้ผลิตน้ำมันและก๊าซรายใหญ่ อาทิ ซาอุดีอาระเบีย และรัสเซีย
อังเดร กอร์เรอา โด ลาโก ประธานการประชุม COP30 เลือกเสนอแนวทางประนีประนอม ด้วยการผลักดัน แผนที่ทางสมัครใจ สำหรับการลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล ซึ่งจะดำเนินการนอกกระบวนการอย่างเป็นทางการของสหประชาชาติ และเชื่อมโยงกับกลุ่มประเทศที่แสดงความพร้อมเดินหน้าประเด็นนี้ โดยมีโคลอมเบียเป็นแกนนำ ขณะเดียวกัน โคลอมเบียยังประกาศเตรียมจัดการประชุมระดับนานาชาติว่าด้วย “การเปลี่ยนผ่านที่เป็นธรรมจากเชื้อเพลิงฟอสซิล” เป็นครั้งแรกของโลกในเดือนเมษายน
COP30 ยังถูกบันทึกว่าเป็นการประชุมภาคีว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่มีผู้เข้าร่วมมากเป็นอันดับสองในประวัติศาสตร์ ด้วยผู้ลงทะเบียนกว่า 56,000 คน รองจาก COP28 ที่ดูไบ ภายในงานมีตัวแทนชนพื้นเมืองราว 2,500 คน และผู้แทนจากกลุ่มล็อบบี้อุตสาหกรรมพลังงานฟอสซิลกว่า 1,600 คน สะท้อนสมรภูมิทางการเมืองด้านสภาพภูมิอากาศที่ยังคงตึงเครียด ระหว่างความพยายามผลักดันการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกกับอิทธิพลของผลประโยชน์ด้านพลังงานที่ยังฝังแน่นในเวทีโลก
สนธิสัญญาพลาสติกโลกล้มเหลว
การเจรจาระหว่างประเทศเพื่อจัดทำ สนธิสัญญาพลาสติกโลก ต้องเผชิญความล้มเหลวอีกครั้ง หลังการประชุมที่เจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ไม่สามารถบรรลุข้อตกลงได้ตามเป้าหมาย นับเป็นครั้งที่สองติดต่อกันที่เวทีสำคัญซึ่งถูกคาดหวังให้เป็นจุดเปลี่ยนในการแก้ปัญหามลพิษพลาสติกทั่วโลก จบลงโดยไม่มีผลลัพธ์เชิงรูปธรรม ท่ามกลางเสียงวิจารณ์จากภาคประชาสังคมที่มองว่าเป็นความล้มเหลวอย่างรุนแรงของความร่วมมือระดับโลก
การประชุมดังกล่าวมีผู้แทนจาก 184 ประเทศ เข้าร่วม เพื่อหาข้อยุติในประเด็นที่ยังเป็นข้อถกเถียงสำคัญ ตั้งแต่การกำหนดเพดานการผลิตพลาสติก การควบคุมผลิตภัณฑ์และสารเคมีอันตราย ไปจนถึงกลไกทางการเงินสำหรับช่วยเหลือประเทศกำลังพัฒนาในการปฏิบัติตามข้อตกลง เดิมทีการประชุมครั้งนี้ถูกกำหนดให้เป็นช่วงสุดท้ายของการประชุมคณะกรรมการเจรจาระหว่างรัฐบาล (INC) ครั้งที่ 5 หลังจากการเจรจาเมื่อปีก่อนที่เมืองปูซาน ประเทศเกาหลีใต้ ไม่สามารถบรรลุสนธิสัญญาได้เช่นกัน
กระบวนการ INC ถูกจัดตั้งขึ้นจากมติของสมัชชาสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติเมื่อเดือนมีนาคม 2022 ซึ่งตั้งเป้าให้โลกมี สนธิสัญญาพลาสติกที่มีผลผูกพันทางกฎหมายภายในปี 2024 โดยครอบคลุมตลอดวัฏจักรชีวิตของพลาสติก ทั้งมาตรการบังคับและสมัครใจ อย่างไรก็ตาม หลังความล้มเหลวซ้ำสองครั้ง ทิศทางและกรอบเวลาของการเจรจาในอนาคตยังคงไม่ชัดเจน สะท้อนความท้าทายเชิงการเมืองและผลประโยชน์ที่ยังเป็นอุปสรรคต่อการจัดการวิกฤตพลาสติกในระดับโลก
มรสุม-พายุ ก่ออุทกภัยครั้งใหญ่
งานวิจัยด้านการระบุสาเหตุของสภาพอากาศสุดขั้วฉบับใหม่ ระบุว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมีส่วนสำคัญในการเพิ่มความรุนแรงของฝนมรสุมและพายุที่ก่อให้เกิดอุทกภัยครั้งใหญ่ในหลายประเทศของเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน 2025 ที่ผ่านมา โดยผลการศึกษาชี้ว่า ภาวะโลกร้อนได้ “เร่งพลัง” ของปริมาณฝน ทำให้ภัยพิบัติครั้งนี้มีความรุนแรงและสร้างความเสียหายมากกว่าปกติ
เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดจากการซ้อนทับกันของพายุหมุนเขตร้อน 2 ลูก คือ พายุดิทวาห์ (Ditwah) และพายุเซนยาร์ (Senyar) ที่พัดถล่มพื้นที่เกาะสุมาตราของอินโดนีเซียและคาบสมุทรมาเลเซียในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน ส่งผลให้เกิดฝนตกหนัก น้ำท่วมฉับพลัน และดินถล่ม คร่าชีวิตผู้คนมากกว่า 1,800 ราย และทำให้ประชาชนราว 1.2 ล้านคนติดค้าง ไม่สามารถเข้าถึงความช่วยเหลือได้อย่างทันท่วงที
นักวิชาการเตือนว่า เหตุการณ์นี้สะท้อนความเปราะบางของภูมิภาคที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก แม้พื้นที่ดังกล่าวจะคุ้นชินกับฝนมรสุมรุนแรงอยู่แล้ว แต่การศึกษาชี้ชัดว่าภาวะโลกร้อนกำลังทำให้เหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วเกิดบ่อยขึ้นและรุนแรงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ พร้อมย้ำว่าหากโลกไม่เร่งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและปรับตัวรับมือ ความสูญเสียจากภัยพิบัติในลักษณะนี้อาจกลายเป็นเรื่องปกติในอนาคต
ทรัมป์ ฟื้นอุตสาหกรรมถ่านหิน
โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหาร 4 ฉบับเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา เพื่อฟื้นฟูอุตสาหกรรมถ่านหิน ซึ่งถือเป็นเชื้อเพลิงฟอสซิลที่ก่อมลพิษสูงที่สุด พร้อมยกเลิกหรือย้อนกลับกฎหมายและนโยบายด้านสภาพภูมิอากาศในยุคก่อนหน้าที่มุ่งจำกัดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งในระดับรัฐและระดับประเทศ ทำเนียบขาวระบุว่า มาตรการดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นการลงทุนและการจ้างงานในภาคถ่านหิน รวมถึงเสริมความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ
ทรัมป์กล่าวต่อหน้ากลุ่มคนงานเหมืองถ่านหินที่ทำเนียบขาวว่า รัฐบาลจะเร่งรัดการให้เช่าพื้นที่ทำเหมืองถ่านหินบนที่ดินของรัฐบาลกลาง และปรับกระบวนการอนุญาตต่าง ๆ ให้รวดเร็วขึ้น โดยคำสั่งฝ่ายบริหารฉบับดังกล่าวระบุถึงถ่านหินในเชิงบวกว่าเป็นพลังงานที่ “สวยงาม สะอาด มีปริมาณมาก และคุ้มค่า” รวมถึงสามารถรองรับความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นของสหรัฐฯ พร้อมสั่งการให้หน่วยงานของรัฐทบทวนและยกเลิกนโยบายที่ถูกมองว่าเป็นอุปสรรคต่อการลงทุนในเหมืองถ่านหินและโรงไฟฟ้าถ่านหิน
อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญด้านสิ่งแวดล้อมชี้ว่า คำสั่งดังกล่าวไม่ได้กล่าวถึงข้อเท็จจริงสำคัญว่า ถ่านหินเป็นแหล่งปล่อยคาร์บอนจากเชื้อเพลิงฟอสซิลรายใหญ่ที่สุดของโลก คิดเป็นราว 40% ของการปล่อยทั้งหมด และมีส่วนทำให้อุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้นกว่า 0.3 องศาเซลเซียสจากการเพิ่มขึ้นรวม 1.2 องศานับตั้งแต่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม ขณะที่หลายประเทศทั่วโลกกำลังลดหรือยุติการใช้ถ่านหิน โดยเกือบ 60 ประเทศได้ชะลอหรือยกเลิกแผนสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินนับตั้งแต่ข้อตกลงปารีสปี 2015 และบางประเทศอย่างเยอรมนี เกาหลีใต้ และสหราชอาณาจักร ได้เลิกใช้ถ่านหินโดยสิ้นเชิงแล้ว
ไฟป่าทั่วโลกทวีความรุนแรง
ปี 2025 ถูกจดจำว่าเป็นอีกหนึ่งปีที่ ไฟป่าทั่วโลกทวีความรุนแรงจากผลของภาวะโลกร้อน อย่างชัดเจน อุณหภูมิที่สูงขึ้นต่อเนื่อง คลื่นความร้อนยาวนาน และความแห้งแล้งที่รุนแรง ทำให้หลายภูมิภาคกลายเป็น “เชื้อเพลิงพร้อมลุกไหม้” นักวิทยาศาสตร์ชี้ว่า ภาวะโลกร้อนจากการสะสมของก๊าซเรือนกระจกทำให้ฤดูไฟป่ายาวขึ้น พื้นที่ป่าแห้งเร็วขึ้น และลมแรงขึ้น ส่งผลให้ไฟลุกลามรวดเร็วและควบคุมได้ยากกว่าที่เคย
ตัวอย่างผลกระทบที่เห็นได้ชัดในปี 2025 คือ ไฟป่าขนาดใหญ่ในรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะในพื้นที่ลอสแอนเจลิสช่วงต้นปี ซึ่งกลายเป็นไฟป่าที่สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจสูงที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ บ้านเรือนหลายหมื่นหลังถูกทำลาย ประชาชนต้องอพยพเป็นวงกว้าง ขณะที่คุณภาพอากาศตกอยู่ในระดับอันตรายเป็นเวลาหลายสัปดาห์ นอกจากนี้ ไฟป่าในแคนาดา ยุโรปตอนใต้ และออสเตรเลีย ยังปล่อยควันและฝุ่นพิษข้ามพรมแดน กระทบสุขภาพประชาชนในประเทศเพื่อนบ้าน
ผลกระทบของไฟป่าในปี 2025 ไม่ได้หยุดอยู่แค่การสูญเสียทรัพย์สิน แต่ยังลุกลามถึง ระบบนิเวศ เศรษฐกิจ และสภาพภูมิอากาศโลก ป่าไม้ซึ่งเป็นแหล่งดูดซับคาร์บอนถูกทำลาย กลับกลายเป็นแหล่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกซ้ำเติมโลกร้อน วงจรนี้ทำให้ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า หากโลกยังไม่เร่งลดการปล่อยคาร์บอนและปรับตัวต่อสภาพอากาศสุดขั้ว ไฟป่าจะไม่ใช่ภัยพิบัติเป็นครั้งคราวอีกต่อไป แต่จะกลายเป็น “ความปกติใหม่” ของโลกในยุคโลกร้อน
บทลงโทษรัฐบาลก่อให้เกิดภาวะโลกร้อน
ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ซึ่งเป็นองค์กรตุลาการสูงสุดของสหประชาชาติ มีคำวินิจฉัยเชิงประวัติศาสตร์ในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ว่าด้วยพันธกรณีของรัฐต่อปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยชี้ชัดว่า การกระทำของรัฐบาลที่ก่อให้เกิดภาวะโลกร้อนถือเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และรัฐมีหน้าที่ตามกฎหมายระหว่างประเทศในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก รวมถึงต้องชดเชยความเสียหายให้กับประเทศและชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตสภาพภูมิอากาศ
ในคำแถลงที่พระราชวังสันติภาพ กรุงเฮก ประธานศาล ICJ ยูจิ อิวาซาวะ ระบุว่า หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ยืนยันอย่าง “ไม่อาจโต้แย้งได้” ว่า การปล่อยก๊าซเรือนกระจกเกิดจากกิจกรรมของมนุษย์ และก่อให้เกิดผลกระทบที่รุนแรงและกว้างขวาง ทั้งต่อระบบนิเวศและประชากรโลก ศาลระบุว่าวิกฤตโลกร้อนเป็น “ปัญหาเชิงอัตถิภาวะในระดับดาวเคราะห์” และทั้งการกระทำและการเพิกเฉยของรัฐสามารถถูกนำมาพิจารณาความรับผิดได้
ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายสิ่งแวดล้อมมองว่า ความเห็นเชิงที่ปรึกษาของ ICJ ซึ่งตั้งอยู่บนหลักกฎหมายระหว่างประเทศที่มีผลผูกพัน จะกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการขับเคลื่อน คดีฟ้องร้องด้านสภาพภูมิอากาศทั่วโลก โดยเปิดทางให้ประเทศเปราะบางและประชาชนที่ได้รับผลกระทบ ใช้กลไกทางกฎหมายเรียกร้องความรับผิดจากรัฐและผู้ก่อมลพิษมากขึ้น ท่ามกลางแรงกดดันที่เพิ่มสูงต่อรัฐบาลทั่วโลกให้เร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาโลกร้อนอย่างจริงจังและเป็นรูปธรรม
ที่มา: Earth.Org







