PM2.5 ไม่ใช่แค่ภัยธรรมชาติ แต่เกี่ยวพันกับนโยบาย และการตัดสินใจของรัฐ

PM2.5 ไม่ใช่แค่ภัยธรรมชาติ แต่เกี่ยวพันกับนโยบาย และการตัดสินใจของรัฐ

ปัญหาฝุ่น PM2.5 มีสาเหตุหลักมาจากการเผาในที่โล่งภาคเกษตรกรรม ซึ่งเป็นผลจากการกระทำของมนุษย์ ไม่ใช่แค่ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ มาตรการแก้ไขของรัฐในปัจจุบันยังเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ขาดความยั่งยืน และไม่ได้จัดการที่โครงสร้างหลักของปัญหา

KEY

POINTS

  • ปัญหาฝุ่น PM2.5 มีสาเหตุหลักมาจากการเผาในที่โล่งภาคเกษตรกรรม ซึ่งเป็นผลจากการกระทำของมนุษย์ ไม่ใช่แค่ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ
  • มาตรการแก้ไขของรัฐในปัจจุบันยังเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ขาดความยั่งยืน และไม่ได้จัดการที่โครงสร้างหลักของปัญหา
  • การแก้ปัญหาอย่างถาวรต้องอาศัยการตัดสินใจเชิงนโยบายที่จริงจัง เช่น การผลักดันร่าง พ.ร.บ. อากาศสะอาด เพื่อบังคับใช้หลักการ "ผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่าย"

ปลายปีควรเป็นช่วงที่อากาศเบาลง แต่สิ่งที่หนักขึ้นกลับเป็นตัวเลขบนจอวัดคุณภาพอากาศ รายงานจากศูนย์สื่อสารการแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศเมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2568 ยืนยันภาพเดิมที่คนไทยเห็นซ้ำแล้วซ้ำเล่า PM2.5 เกินค่ามาตรฐานกระจายตัวหลายจังหวัด ตั้งแต่นนทบุรี กรุงเทพฯ นครปฐม สมุทรสาคร สมุทรปราการ สุโขทัย สระบุรี อ่างทอง ไปจนถึงหนองคาย

ฝุ่นไม่เลือกเมือง ไม่เลือกชนบท แต่มันเลือก “จังหวะ” และปลายปีคือจังหวะที่เหมาะที่สุด ลมเริ่มอ่อน ความกดอากาศนิ่ง ขณะที่การเผาในที่โล่งยังเดินหน้าราวกับเป็นเรื่องปกติ ไม่มีต้นทุน ไม่มีความรับผิด

ตัวเลขจากสถานีตรวจวัดไม่ต้องการคำอธิบายมากนัก ภาคเหนือบางพื้นที่แตะระดับเกือบ 50 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ภาคอีสานและภาคกลาง ตะวันตกก็ขยับเข้าใกล้เส้นอันตราย ส่วนกรุงเทพฯ และปริมณฑล สถานีตรวจวัดของ กรมควบคุมมลพิษ ร่วมกับ กทม. พบค่าฝุ่นเกินมาตรฐานถึง 16 พื้นที่ ตัวเลขสูงสุด 56 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ระดับที่ทำให้การใช้ชีวิตประจำวันกลายเป็นความเสี่ยงโดยอัตโนมัติ

คำแนะนำด้านสุขภาพยังเหมือนเดิมทุกปี ลดกิจกรรมกลางแจ้ง ใส่หน้ากาก ผู้เปราะบางต้องระวังเป็นพิเศษ แต่คำถามที่ไม่เคยได้รับคำตอบคือ เราจะยอมให้สุขภาพของทั้งเมืองขึ้นอยู่กับหน้ากากและการหลบเลี่ยงไปอีกกี่ฤดูกาล

จากข้อมูลดาวเทียม GISTDA ทำให้เห็นต้นตอชัดเจนขึ้น จุดความร้อนระหว่างวันที่ 17–23 ธันวาคม บอกตรงกันว่า การเผาพืชคลุมดินยังเป็นปัจจัยหลัก โดยเฉพาะนาข้าวที่คิดเป็นถึงครึ่งหนึ่งของการเผาทั้งหมด รองลงมาคืออ้อยและข้าวโพด พื้นที่หนักสุดอยู่ในพิจิตรและนครสวรรค์ บริเวณลุ่มน้ำยมและน่าน พื้นที่เหนือลมที่สามารถส่งฝุ่นเข้ากรุงเทพฯ ได้โดยตรง

ปีนี้ กรุงเทพมหานครเพิ่งเริ่มขยับ ส่งสัญญาณ “ขอความร่วมมือ” ให้ชะลอการเผาในช่วงที่สภาพอุตุนิยมวิทยาไม่เอื้อ รอบแรกการเผาลดลง แต่ยังไม่มีใครกล้าฟันธงว่านี่คือผลของนโยบาย หรือเป็นเพียงจังหวะลมเข้าข้าง

เพราะช่วงถัดไป 31 ธันวาคม ถึง 4 มกราคม ลมหนาวจะอ่อนแรง มรสุมอาจดันกลับมาเป็นระยะ และช่วงที่ลมกลับไปกลับมานี่เอง คือช่วงที่ฝุ่นสะสมได้ง่ายที่สุด ก่อนจะย้อนกลับมาปกคลุมเมืองโดยแทบไม่มีสัญญาณเตือน

ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในจังหวะเดียวกับการเมืองที่กำลังเข้าสู่โหมดเลือกตั้ง คำถามจึงไม่ใช่แค่ว่า “ฝุ่นจะมาไหม” แต่คือ “ใครจะรับผิดชอบจริงจังแค่ไหน” พรรคการเมืองพูดถึงเศรษฐกิจ ปากท้อง และการเติบโต แต่ถ้าอากาศที่ประชาชนหายใจยังเป็นพิษ สุขภาพก็จะกลายเป็นต้นทุนแฝงที่สังคมต้องจ่ายแพงที่สุด

ปัญหามลพิษทางอากาศของไทยยังถูกแก้แบบปลายเหตุ เรามีแผนรายปี มีมาตรการเฉพาะหน้า มีการขอความร่วมมือเป็นฤดูกาล แต่แทบไม่แตะ “โครงสร้างหลัก” ที่เป็นต้นเหตุ อำนาจสั่งการที่กระจัดกระจาย เครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์ที่อ่อนแรง และระบบภาษีที่ไม่เคยทำให้ผู้ก่อมลพิษต้องจ่ายจริง

นี่คือเหตุผลที่ร่าง พ.ร.บ. อากาศสะอาด ฉบับใหม่ ถูกจับตามองในฐานะจุดเปลี่ยนเชิงโครงสร้าง ไม่ใช่แค่ลดตัวเลขฝุ่น แต่เปลี่ยนวิธีคิดในการจัดการมลพิษ ทว่ากฎหมายฉบับนี้กำลังแขวนอยู่บนเส้นตาย 60 วัน หากรัฐบาลใหม่ไม่หยิบขึ้นมาพิจารณาต่อ ทุกอย่างจะต้องกลับไปเริ่มต้นใหม่ นับหนึ่งใหม่ ทั้งที่ฝุ่นไม่เคยรอใคร

หลักการนั้นเรียบง่าย ผู้ก่อมลพิษต้องเป็นผู้จ่าย หากไม่มีภาษีหรือค่าธรรมเนียม หลักการนี้ก็ไม่มีวันเกิดขึ้นจริง และกฎหมายก็จะไม่ต่างจากกระดาษอีกแผ่นหนึ่ง การเก็บภาษีเพื่ออากาศสะอาดไม่ใช่การเพิ่มภาระ แต่คือการหยุดผลักต้นทุนให้ประชาชนต้องแบกรับผ่านลมหายใจของตัวเอง

ฝุ่น PM2.5 ไม่ใช่ภัยธรรมชาติ แต่มันคือผลของการเลือก และการไม่เลือก เชิงนโยบาย และในวันที่ประเทศกำลังจะตัดสินใจเลือกผู้นำใหม่ การ “จับตาฝุ่นในไทย” จึงหมายถึงการจับตาว่า ใครจะกล้าพอที่จะจัดการต้นเหตุจริงๆ ก่อนที่ฤดูกาลฝุ่นจะกลายเป็นเรื่องปกติถาวรของสังคมไทย