โลกสูญเสีย ‘ธารน้ำแข็งทรัสลัมบริออน’ ไปตลอดกาล จากภาวะโลกร้อน

โลกสูญเสีย ‘ธารน้ำแข็งทรัสลัมบริออน’ ไปตลอดกาล จากภาวะโลกร้อน

ธารน้ำแข็งทรัสลัมบริออน ในสเปน หายไปตลอดกาลจากภาวะโลกร้อน หลังจากอยู่รอดมานานกว่า 700 ปี นับเป็นจุดเริ่มต้นการล่มสลายธารน้ำแข็งในยุโรป

KEY

POINTS

  • ธารน้ำแข็งทรัสลัมบริออน ซึ่งเป็นธารน้ำแข็งแห่งสุดท้ายในจังหวัดเลออนของสเปน ได้ละลายหายไปอย่างถาวรจากผลกระทบของภาวะโลกร้อน
  • การสูญเสียครั้งนี้ถูกเรียกว่า "ความตายจากความร้อน" (Heat death) ซึ่งเปลี่ยนสถานะธารน้ำแข็งอายุกว่า 700 ปี ให้กลายเป็นเพียงซากฟอสซิลน้ำแข็งที่รอวันละลายหมดไป
  • การหายไปของธารน้ำแข็งส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง ทั้งการสูญเสียแหล่งข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ การเปลี่ยนแปลงวัฏจักรของน้ำ และเพิ่มความเสี่ยงหินถล่มจากการละลายของชั้นดินเยือกแข็งคงตัว
  • สถานการณ์นี้เป็นสัญญาณเตือนถึงวิกฤตของธารน้ำแข็งอื่น ๆ ในสเปนและยุโรปใต้ ซึ่งคาดว่าจะละลายหายไปเกือบทั้งหมดในอีกไม่ถึง 10 ปีข้างหน้า

ธารน้ำแข็งทรัสลัมบริออน” (Trasllambrión) ธารน้ำแข็งแห่งสุดท้ายในจังหวัดเลออน ของสเปน ได้ละลายหายไปตลอดกาล เมื่อเดือนตุลาคม 2025 จากภาวะโลกร้อน ปิดฉากธารน้ำแข็งที่อยู่รอดมาได้นานกว่า 700 ปี 

จากการสำรวจโดยคณะวิจัยจากกลุ่ม Geopat แห่งมหาวิทยาลัยเลออน นำโดยศ.ฮาเวียร์ ซานโตส กอนซาเลซ พบว่า ธารน้ำแข็งทรัสลัมบริออน ซึ่งตั้งอยู่บนเทือกเขาปิโกส เด ยูโรปา ณ ระดับความสูง 2,400 เมตร ในปัจจุบันมีสภาพเป็นเพียงก้อนน้ำแข็งขนาดเล็กกว้างประมาณ 15-20 เมตร ซ่อนตัวอยู่ในเงามืดของหน้าผาหินปูน

ด้วยปริมาณก้อนน้ำแข็งที่เหลืออยู่นี้ไม่มีมวลมากพอ ที่จะเคลื่อนที่หรือมีพฤติกรรมในเชิงพลวัตตามลักษณะของธารน้ำแข็งที่มีชีวิตอีกต่อไป และถูกเปลี่ยนสถานะเป็นเพียงซากฟอสซิลน้ำแข็งที่อยู่นิ่งรอวันละลายหายไปตามฤดูกาล

ข้อมูลทางธรณีวิทยาระบุว่า ธารน้ำแข็งทรัสลัมบริออน เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เรียกว่า “ยุคน้ำแข็งน้อย” (Little Ice Age) ซึ่งเกิดขึ้นระหว่างศตวรรษที่ 14-19 ในช่วงที่พีคธารน้ำแข็งแห่งนี้เคยครอบคลุมพื้นที่กว่า 62 ไร่ โดยมีชั้นน้ำแข็งหนาถึง 500 เมตร และมีส่วนปลายของธารน้ำแข็งหรือ “ลิ้นน้ำแข็ง” ยาวถึง 6 กม. 

อย่างไรก็ตาม หากย้อนกลับไปไกลกว่านั้นในช่วงการยึดครองของจักรวรรดิโรมัน บันทึกระบุว่ากองทหารโรมันไม่พบร่องรอยของน้ำแข็งในบริเวณนี้เลย ชี้ให้เห็นว่าทรัสลัมบริออนก่อตัวขึ้นหลังจากช่วงเวลาอันอบอุ่นในยุคกลางได้ผ่านพ้นไป

ความผันผวนนี้แสดงให้เห็นว่าพื้นที่ในแนวเทือกเขาคันตาเบรียนมีความไวต่อการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิโลกอย่างมากมาโดยตลอด

โลกสูญเสีย ‘ธารน้ำแข็งทรัสลัมบริออน’ ไปตลอดกาล จากภาวะโลกร้อน
ธารน้ำแข็งทรัสลัมบริออนไม่เหลือน้ำแข็งอยู่เลย
เครดิตภาพ: JAVIER SANTOS GONZÁLEZ

การหายไปของทรัสลัมบริออนไม่ใช่เพียงการละลายของก้อนน้ำแข็งทั่วไป แต่เป็นสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์เรียกว่า “ความตายจากความร้อน” (Heat death) ซึ่งเป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เร่งตัวขึ้นอย่างรุนแรง โดยเฉพาะตั้งแต่ทศวรรษ 1980 เป็นต้นมา โดยอุณหภูมิที่สูงขึ้นทำลายสมดุลระหว่างการสะสมของหิมะใหม่และการละลายของน้ำแข็งเก่า

ในอดีต เทือกเขาคันตาเบรียนเคยได้รับประโยชน์จากฤดูหนาวที่ยาวนาน และมีหิมะตกหนักพอที่จะหล่อเลี้ยงชั้นน้ำแข็งให้รอดพ้นจากฤดูร้อนไปได้ แต่ในปัจจุบันฤดูหนาวกลับสั้นลงและมีปริมาณหิมะลดลงอย่างต่อเนื่อง

แม้ในช่วงปี 2009-2020 จะเกิดพายุหิมะรุนแรง ซึ่งน่าจะช่วยปกคลุมชั้นน้ำแข็งจนดูเหมือนว่าการละลายจะหยุดชะงักลง แต่นักวิจัยระบุว่านั่นเป็นเพียง “ภาพลวงตา” ที่ปกปิดการกัดเซาะลึกในมวลน้ำแข็งชั้นล่างเอาไว้

เมื่อต้องเผชิญกับฤดูร้อนที่ร้อนระอุติดต่อกันในช่วง 5 ปีล่าสุด ชั้นน้ำแข็งที่บางอยู่แล้วจึงไม่สามารถทนทานต่อพลังงานความร้อนได้อีกต่อไป จนกระทั่งมวลน้ำแข็งแตกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยและสูญเสียความสามารถในการไหลตัวลงสู่ที่ต่ำตามแรงโน้มถ่วง

ธารน้ำแข็งทรัสลัมบริออนมีความสำคัญในหลากหลายมิติ ในเชิงวิทยาศาสตร์ ธารน้ำแข็งขนาดเล็กในละติจูดต่ำเช่นนี้ทำหน้าที่เป็น “เครื่องวัดอุณหภูมิของโลก” ที่มีความไวสูงมาก เนื่องจากพวกมันตอบสนองต่อความเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิและหยาดน้ำฟ้าได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งทำให้นักวิจัยสามารถใช้ข้อมูลจากที่นี่เพื่อประเมินความเร็วของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในภูมิภาคโดยรอบได้อย่างแม่นยำ 

โลกสูญเสีย ‘ธารน้ำแข็งทรัสลัมบริออน’ ไปตลอดกาล จากภาวะโลกร้อน บริเวณที่เคยมีธารน้ำแข็งอยู่
เครดิตภาพ: JAVIER SANTOS GONZÁLEZ

นอกจากนี้ ทรัสลัมบริออนยังเป็นเสมือน “จดหมายเหตุทางธรรมชาติ” คอยบันทึกร่องรอยทางธรณีวิทยา เช่น เนินตะกอนธารน้ำแข็ง ที่ทิ้งรอยไว้ตามลาดเขา ช่วยให้นักวิทยาศาสตร์สามารถย้อนรอยศึกษาพฤติกรรมของภูมิอากาศในอดีตได้ 

ขณะเดียวกัน ธารน้ำแข็งยังทำหน้าที่เป็นตัวควบคุมวัฏจักรของน้ำ โดยการเก็บสะสมน้ำในรูปของน้ำแข็งในฤดูหนาวและค่อย ๆ ปล่อยออกมาในฤดูร้อน ช่วยรักษาความเย็นและความใสของลำธารบนภูเขาที่เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตเฉพาะถิ่น

นอกจากการสูญเสียมรดกทางธรรมชาติแล้ว การหายไปของธารน้ำแข็งยังนำมาซึ่งความเสี่ยงทางธรณีวิทยาที่อันตรายต่อมนุษย์ เมื่อชั้นน้ำแข็งถาวรที่เคยแทรกตัวอยู่ในรอยแยกของหินหรือที่เรียกว่า “เพอร์มาฟรอสต์” (Permafrost) ละลายหายไป หน้าผาหินปูนที่เคยแข็งแกร่งจะสูญเสียตัวยึดเกาะธรรมชาติและเกิดความไม่มั่นคง ปรากฏการณ์นี้นำไปสู่การเกิดหินถล่มเพิ่มมากขึ้น ซึ่งสามารถสร้างความเสียหายต่อเส้นทางเดินเขา ที่พักแรม และเป็นอันตรายต่อนักท่องเที่ยวในเขตอุทยานแห่งชาติ

ศ.ฮาเวียร์ ซานโตส กอนซาเลซ ระบุว่าเราได้สูญเสียเชิงอัตลักษณ์และจิตวิญญาณของพื้นที่แห่งนี้ไปแล้ว “ในแง่หนึ่ง คุณจะรู้สึกว่ากำลังมีชีวิตอยู่ในช่วงสุดท้ายของยุคสมัย เราต่างเศร้าเมื่อรู้ว่าจะไม่มีน้ำแข็งให้ตามหาอีกในครั้งต่อไป เอกลักษณ์ของปิโกส เด ยูโรปากำลังจะหายไป ภูเขากำลังสูญเสียความทรงจำแห่งฤดูหนาว”

สถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับทรัสลัมบริออน กำลังลุกลามไปยังธารน้ำแข็งอื่น ๆ ในสเปนและยุโรปใต้ โดยเฉพาะธารน้ำแข็งในเทือกเขาพิเรนีส ซึ่งเป็นพรมแดนระหว่างสเปนและฝรั่งเศส หนึ่งในนั้นคือ “ธารน้ำแข็งอาเนโต” ธารน้ำแข็งที่ใหญ่ที่สุดในสเปนและยุโรปตอนใต้ ที่ในทุกฤดูกาลจะสูญเสียน้ำแข็งโดยเฉลี่ยมากกว่าหนึ่งเมตร

ข้อมูลระบุว่าจากธารน้ำแข็ง 52 แห่งที่มีอยู่ในเทือกเขาพิเรนีสในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ปัจจุบันกลับหลงเหลืออยู่เพียงประมาณ 14 แห่งที่ยังคงสถานะทำงานอยู่ และหลายแห่งได้เปลี่ยนสภาพเป็นน้ำแข็งตาย เช่นเดียวกับทรัสลัมบริออน การศึกษาโดยใช้เทคโนโลยี LiDAR และโดรนแสดงให้เห็นว่าหากแนวโน้มของอุณหภูมิยังคงเป็นเช่นนี้ ธารน้ำแข็งที่เหลืออยู่ในสเปนอาจละลายหายไปเกือบทั้งหมดภายในระยะเวลาไม่ถึง 10 ปีข้างหน้า

การหายไปของธารน้ำแข็งทรัสลัมบริออน แสดงให้เห็นแล้วว่าภาวะโลกร้อนไม่ใช่เรื่องนามธรรม เป็นเพียงแค่รายงานสถิติ แต่เป็นสิ่งที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ผ่านการดับสูญของกลไกธรรมชาติที่เคยอยู่คู่กับมนุษย์มานานหลายศตวรรษ พร้อมทำให้เห็นว่าพื้นที่สูงในละติจูดต่ำมีความเปราะบางอย่างยิ่ง โดยการสูญเสียน้ำแข็งถาวรจะส่งผลกระทบต่อเนื่องเป็นลูกโซ่ ทั้งต่อความหลากหลายทางชีวภาพ การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ และความปลอดภัยทางธรณีวิทยา

ยิ่งไปกว่านั้น ยังสร้างภาวะที่นักวิจัยเรียกว่า “การไว้ทุกข์ให้กับภูมิทัศน์” (Landscape mourning) ซึ่งเป็นความรู้สึกสูญเสียมรดกทางวัฒนธรรมและอัตลักษณ์ของท้องถิ่น เทคโนโลยีสมัยใหม่ช่วยบันทึกและวัดค่าความตายของน้ำแข็งได้อย่างแม่นยำขึ้น และก็ยิ่งตอกย้ำความจริงที่ว่า เราไม่สามารถรักษาธารน้ำแข็งหลายแห่งในยุโรปไว้ได้ เพราะได้ผ่านพ้นจุดที่หวนคืนไม่ได้ไปแล้ว 



ที่มา: Diario de LeonEarthEl PaisMeteorologiaenred