เตรียมพร้อมรับมือ ‘ความสูญเสียและความเสียหาย’ ในยุคโลกรวน

วิกฤติน้ำท่วมภาคใต้ที่ผ่านมา โดยเฉพาะในพื้นที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เป็นภาพสะท้อนของความเสี่ยงจากภาวะโลกรวนที่ทั้งประเทศไทยและหลายประเทศทั่วโลกกำลังเผชิญ
ส่งผลให้ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับความสูญเสียและความเสียหาย หรือ Loss and Damage กลายเป็นหัวข้อถกเถียงสำคัญในเวทีโลกรวมถึงในการประชุม COP30 ที่ผ่านมาไม่นานนี้
ในเวทีการเจรจาระหว่างประเทศ กลุ่มประเทศหมู่เกาะขนาดเล็กที่ผลักดันเรื่องนี้เรื่อยมา เช่น วานูอาตู และตูวาลู มองว่ากลไกความช่วยเหลือและจัดการ Loss and Damage เป็นความยุติธรรมด้านภูมิอากาศที่พวกเขาควรได้รับ ส่วนประเทศพัฒนาแล้วแม้จะยอมรับในหลักการ แต่ยังลังเลเรื่อง “ความรับผิดทางการเงิน” ที่อาจตามมา
อย่างไรก็ตาม COP30 ถือเป็นก้าวสำคัญของการเจรจากลไกกองทุนความสูญเสียและความเสียหาย (FRLD) ที่จะมีการจัดสรรงบเบื้องต้นกว่า 250 ล้านดอลลาร์ เพื่อสนับสนุนประเทศกำลังพัฒนาในการยื่นคำขอเงินสนับสนุน
ขณะที่ประเทศกำลังพัฒนาหลายแห่ง เช่น บังคลาเทศ เนปาล หรือประเทศในแอฟริกา เริ่มบูรณาการประเด็นที่เกี่ยวข้องกับ Loss and Damage ไว้ในแผนการปรับตัวแห่งชาติ (NAP) และเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศ (NDC) เพื่อเพิ่มโอกาสเข้าถึงความช่วยเหลือจากกลไกระดับโลก
แต่ประเทศไทยยังไม่มีการบูรณาการ Loss and Damage เข้าในแผนข้างต้นอย่างชัดเจน แม้จะมีข้อมูลในรายงาน BTR1 ที่สะท้อนความเสียหายจากภัยพิบัติ แต่ก็ยังขาดการจัดหมวดหมู่และการประเมินความสูญเสียและความเสียหายที่ชัดเจนในลักษณะที่สามารถนำไปใช้เชิงนโยบายและเชื่อมโยงกับกลไกทางการเงินระหว่างประเทศได้
Loss and Damage ในบริบทไทยยังขาดอะไร?
ข้อมูลความเสียหายจากภัยพิบัติที่มีอยู่แล้วในหลายหน่วยงาน ยังไม่ถูกพัฒนาอย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะการติดตามผลหลังการฟื้นฟู การจำแนกประเภทความสูญเสีย และการเชื่อมโยงข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการระดมทรัพยากรและการรายงานระดับชาติ ถึงแม้ว่าประเทศไทยจะมีเครื่องมือประเมินความเสียหายหลังเกิดภัย แต่ยังมีข้อจำกัดในการนำไปใช้ รวมถึงการขอรับการสนับสนุนจากกลไกระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องได้
วิกฤติน้ำท่วม อ.หาดใหญ่ สะท้อนความสูญเสียที่ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงมิติเศรษฐกิจ หรือทรัพย์สินเท่านั้น หากแต่ยังสะท้อนผลกระทบในอีกหลายมิติ ทั้งการเข้าถึงบริการสาธารณะ ความมั่นคงในการดำรงชีวิต สุขภาพกาย-ใจ ความเป็นอยู่รวมไปถึงการเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศในพื้นที่ ที่มีน้ำจืดไหลสู่ทะเลจำนวนมาก ซึ่งอาจกระทบต่อระบบนิเวศชายฝั่ง และความมั่นคงทางรายได้ของชุมชนในระยะยาวต่อไป
ความสูญเสียในลักษณะดังกล่าวสะท้อนว่าการประเมิน Loss and Damage แบบเดิมอาจทำให้ข้อมูลหลายมิติตกหล่นไป จึงมีความจำเป็นในการพัฒนาระบบการประเมินและการจัดการข้อมูลด้าน Loss and Damage ที่คำนึงถึงบริบทเชิงพื้นที่และความเปราะบางเฉพาะของพื้นที่มากยิ่งขึ้น
Next Step ประเทศไทย: เข้าถึงเงินช่วยเหลือได้ แต่ต้องเตรียมพร้อม
แม้ประเทศไทยอาจไม่ได้อยู่ในกลุ่มประเทศที่ได้รับการให้ความสำคัญลำดับต้นๆ ในการเข้าถึงกองทุน FRLD แต่ก็เข้าเกณฑ์ที่สามารถยื่นขอความช่วยเหลือได้ หากสามารถแสดงข้อมูลผลกระทบที่ชัดเจนและมีโครงการที่เข้าข่ายตามแนวทางของ UNFCCC และคณะกรรมการกองทุน FRLD
ดังนั้น ไทยต้องเร่งพัฒนาเครื่องมือประเมินผลกระทบ และสร้างการเตรียมความพร้อมด้านข้อมูลและโครงการเพื่อเชื่อมโยงกับกองทุนต่างประเทศ
นอกจากนี้ต้องเร่งพัฒนาระบบประกันภัยและกลไกการบริหารความเสี่ยงจากภัยพิบัติ ที่เป็นองค์ประกอบสำคัญที่จะสนับสนุนการจัดการ Loss and Damage ได้ในทั้งเชิงป้องกันและการฟื้นฟู โดยเฉพาะในระยะเฉียบพลันหลังเกิดเหตุการณ์
ทั้งนี้ การพัฒนาระบบฐานข้อมูลด้าน Loss and Damage ของประเทศไทยยังเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญที่จะช่วยในการออกแบบเครื่องมือทางการเงินที่มีการแบ่งชั้นความเสี่ยงที่เหมาะสมกับบริบทของประเทศ ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยการบูรณาการระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ข้อมูลด้าน Loss and Damage สามารถถูกนำไปใช้ประโยชน์ได้ในหลายมิติ ทั้งการวางแผนเชิงนโยบาย การบริหารความเสี่ยง และการเสริมสร้างความยืดหยุ่นของประเทศต่อความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในระยะยาว
ข้อเสนอต่อภาครัฐในการขับเคลื่อนการบริหารจัดการ Loss and Damage
เพื่อให้ประเทศไทยสามารถจัดการ Loss and Damage ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ควรมีการกำหนดนิยามที่ชัดเจน และบูรณาการประเด็นนี้ไว้ในแผนระดับชาติอย่างเป็นระบบ โดยมุ่งเน้นการเสริมสร้างความพร้อมเชิงโครงสร้างและพัฒนาเครื่องมือประเมินที่สามารถจำแนกความสูญเสียและความเสียหายได้อย่างเหมาะสม
พร้อมกันนั้นจำเป็นต้องพัฒนากรอบการจัดการข้อมูลด้าน Loss and Damage ที่สามารถเชื่อมโยงข้อมูลการประเมินความเสียหายหลังภัยพิบัติ การติดตามผลการฟื้นฟู และระบบการรายงานระดับชาติให้เป็นรูปแบบเดียวกัน เพื่อให้ข้อมูลดังกล่าวสามารถนำไปใช้ทั้งในการวางแผนนโยบาย การบริหารความเสี่ยง และการสนับสนุนการเข้าถึงแหล่งเงินทุนระหว่างประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ควรเสริมสร้างศักยภาพและบทบาทของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม และกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ให้สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างใกล้ชิด และใช้บทบาทของไทยฐานะสมาชิกอาเซียนเพื่อเสริมสร้างความร่วมมือระดับภูมิภาค เช่น การเชื่อมโยงกับกองทุน FRLD ภายใต้กรอบ UNFCCC และเครื่องมือประกันภัยระดับภูมิภาคอย่าง SEADRIF
ควรพิจารณาบทบาทของกลไกทางการเงินด้านการบริหารจัดการความเสี่ยงจากภัยพิบัติ เช่น ระบบประกันภัยหรือกลไกการเงินเชิงป้องกัน เพื่อจัดวางบทบาทของเครื่องมือเหล่านี้อย่างเป็นระบบ
ควรให้ความสำคัญกับการประเมินและจัดการความสูญเสียที่ไม่ใช่ด้านเศรษฐกิจอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น โดยเฉพาะผลกระทบต่อสุขภาพจิต วิถีชีวิต อัตลักษณ์ของชุมชน ซึ่งจะช่วยให้การป้องกันและรับมือผลกระทบจาก Loss and Damage มีความครอบคลุมและสอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงของผู้ได้รับผลกระทบมากยิ่งขึ้น
จากเหตุการณ์ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นถี่และมีความรุนแรงมากขึ้น จะเห็นว่าหากไทยไม่เตรียมความพร้อมตั้งแต่วันนี้ โอกาสในการเข้าถึงแหล่งทุน หรือความช่วยเหลือจะไม่ทันการณ์ จึงจำเป็นที่ไทยต้องลงทุนในความพร้อมของตนเอง ควบคู่ไปกับการเตรียมความพร้อมด้านข้อมูลเพื่อที่จะสามารถเรียกร้องและใช้ประโยชน์จากกลไกทั้งในและระหว่างประเทศที่มีอยู่ได้อย่างเต็มที่ เพื่อให้อยู่รอดในยุคโลกรวน







