ระเบิดเวลา 'ส่งออกข้าว' เสี่ยงล่มสลาย หากรัฐยังไร้นโยบาย 'คาร์บอน' รับมือตลาดโลก

ภาคเกษตรและอาหารไทยถึงจุดเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่ เมื่อ "ราคา" ไม่ใช่ตัวตัดสินการซื้ออีกต่อไป แต่คือ "คาร์บอนฟุตพริ้นท์"
KEY
POINTS
- ตลาดโลกเปลี่ยนเกณฑ์การตัดสินใจซื้อสินค้าเกษตรโดยให้ความสำคัญกับ "คาร์บอนฟุตพริ้นท์" มากกว่า "ราคา" ซึ่งเป็นความเสี่ยงโดยตรงต่อการส่งออกข้าวของไทย
- คู่แข่งอย่างเวียดนามได้ปรับตัวรุกตลาดด้วยการเสนอขายข้าวที่พ่วงคาร์บอนเครดิต แซงหน้าไทยที่ยังคงติดอยู่กับการค้าแบบดั้งเดิม
- ไทยยังขาดนโยบายระดับชาติที่ชัดเจนจากภาครัฐในการรับมือประเด็นคาร์บอน ทำให้ขาดงบประมาณสนับสนุนเกษตรกร มาตรฐานสับสน และอำนาจต่อรองในเวทีโลกต่ำ
- ภาคเอกชนเตือนว่าหากรัฐบาลยังไม่กำหนดนโยบายคาร์บอนเป็นวาระแห่งชาติอย่างจริงจังภายใน 2 ปี การส่งออกข้าวไทยอาจถูกกีดกันจากตลาดหลักถาวร
ภาคเกษตรและอาหารไทยถึงจุดเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่ เมื่อ "ราคา" ไม่ใช่ตัวตัดสินการซื้ออีกต่อไป แต่คือ "คาร์บอนฟุตพริ้นท์" เผยเวียดนามเดินเกมรุกแซงหน้าชูจุดขายสินค้าสีเขียว ขณะที่ไทยยังติดกับดักโครงสร้างเดิม ไร้งบประมาณ ไร้การบูรณาการ วอนรัฐบาลใหม่ยกเป็นวาระแห่งชาติก่อนถูกกีดกันทางการค้าถาวร
กระบวนทัศน์ใหม่ เมื่อกำไรไม่ได้วัดกันที่ตัวเลข "ราคา"
พรศิลป์ พัชรินทร์ตนะกุล นายกสมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทย กล่าวในงาน เครือข่ายส่งเสริมการผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืนแห่งประเทศไทยประจำปี 2568 ว่า ในอดีต ความสำเร็จของสินค้าเกษตรไทยวัดกันที่ "ปริมาณ" และ "ราคา" ใครถูกกว่าและมีของมากกว่าคือผู้ชนะ แต่ปัจจุบันภูมิทัศน์การค้าโลก (Global Trade Landscape) ได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้กลายเป็นเงื่อนไขสำคัญในการตัดสินใจซื้อของคู่ค้ายักษ์ใหญ่ทั่วโลก
กรณีศึกษาที่กลายเป็นสัญญาณเตือนภัย (Wake-up Call) คือการทำสัญญาขายข้าวให้สิงคโปร์ แม้ไทยจะทำสัญญาขายข้าวจำนวน 100,000 ตัน เป็นเวลา 5 ปีได้สำเร็จ แต่เพียง 3 วันให้หลัง เวียดนามกลับสร้างความสั่นสะเทือนด้วยการเสนอขายข้าวที่ "พ่วงคาร์บอนเครดิต" โดยไม่เน้นการแข่งขันที่จำนวนตันหรือราคาต่อหน่วย นี่คือหลักฐานชัดเจนว่าคู่แข่งของไทยได้ก้าวข้ามผ่านการค้าแบบดั้งเดิมไปสู่การค้าแบบ "Low Carbon Economy" เรียบร้อยแล้ว
ในอนาคตอันใกล้ ผู้ซื้อระดับโลกจะไม่ได้ถามว่า "ข้าวไทยราคาเท่าไหร่" แต่จะถามว่า "ข้าวถุงนี้มีค่าคาร์บอนเท่าไหร่" และหากเราไม่มีคำตอบให้ ตลาดระดับพรีเมียมจะปิดประตูใส่ไทยทันที
โครงสร้างห่วงโซ่อุปทาน จุดแข็งที่กลายเป็นจุดเปราะบาง
อุตสาหกรรมเกษตรและอาหารของไทยมีความซับซ้อนและมีห่วงโซ่ที่ยาวมาก เริ่มตั้งแต่ต้นน้ำคือเมล็ดพันธุ์ (ข้าว, ข้าวโพด, มันสำปะหลัง) ไปจนถึงกลางน้ำอย่างโรงอบ โรงงานอาหารสัตว์ และปลายน้ำในกลุ่มปศุสัตว์และการแปรรูปเพื่อส่งออก
ความซับซ้อนนี้ทำให้การบริหารจัดการ "คาร์บอน" ทำได้ยาก เพราะทุกข้อต่อในห่วงโซ่เชื่อมถึงกันหมด ปัญหาที่สำคัญที่สุดอยู่ที่ "ต้นน้ำ" คือเกษตรกรรายย่อย เมื่อภาคเอกชนพยายามผลักดันเรื่องการไม่เผาป่าหรือการลดปุ๋ยเคมีเพื่อลดการปล่อยก๊าซฯ คำถามสะท้อนใจจากเกษตรกรคือ "คุณจะรับซื้อเพิ่มกิโลละกี่บาท?"
นี่ไม่ใช่เรื่องของความเห็นแก่ตัว แต่เป็นเรื่องของปากท้องและการขาดแรงจูงใจทางเศรษฐกิจ การแก้ปัญหาแบบเดิมๆ ด้วยการออกกฎหมายบังคับหรือการใช้มาตรการภาษี (Penalty) จึงไม่ใช่ทางออก แต่ต้องเป็นการสร้าง "แต้มต่อ" หรือกำไรที่เพิ่มขึ้นจากการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
ทางรอดเดียว "เทคโนโลยี" และ "ข้อมูลที่พิสูจน์ได้"
หัวใจสำคัญของสงครามคาร์บอนคือ "ความน่าเชื่อถือของข้อมูล" การจะบอกว่าข้าวไทยปล่อยคาร์บอนต่ำไม่สามารถพูดลอยๆ ได้ แต่ต้องมีระบบตรวจสอบย้อนกลับ (Traceability) ที่แม่นยำ ปัจจุบันภาคเอกชนไทยต้องดิ้นรนด้วยตัวเอง เช่น การจับมือกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจท.) ลงพื้นที่เก็บข้อมูลจริงนานถึง 2 ปี เพื่อพิสูจน์ค่าคาร์บอนในข้าวโพด 5 ล้านตัน
การลงทุนด้านเทคโนโลยีและฐานข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) เป็นสิ่งที่ต้องใช้เงินทุนมหาศาล ซึ่งเกินกำลังของเกษตรกรรายย่อยและผู้ประกอบการขนาดกลาง นี่คือจุดที่ "นวัตกรรม" ต้องเข้ามาแทนที่การทำงานแบบ Manual เพื่อให้ได้ตัวเลขที่ทั่วโลกยอมรับ
บทบาทรัฐบาล ผู้เล่นที่หายไปจากกระดาน
แม้ภาคเอกชนจะเริ่มปรับตัว แต่ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดคือ "การขาดเจ้าภาพระดับนโยบาย" ปัจจุบันหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้มีมากกว่า 10 กระทรวง ตั้งแต่เกษตรฯ, พาณิชย์, อุตสาหกรรม ไปจนถึงทรัพยากรธรรมชาติฯ แต่ละหน่วยงานต่างคนต่างทำ มีเพียงนโยบายระดับกรมหรือกระทรวง แต่ไม่มี "นโยบายแห่งชาติ" ที่บูรณาการร่วมกัน
การไร้นโยบายที่ชัดเจนส่งผลร้าย 3 ด้าน
งบประมาณไม่ลงตัว: เมื่อไม่มีแผนแม่บทระดับชาติ งบประมาณที่ควรจะนำมาอุดหนุนเทคโนโลยีให้เกษตรกรจึงไม่มีเพียงพอ
- มาตรฐานสับสน: เกษตรกรไม่รู้จะยึดมาตรฐานของใคร ทำให้เสียโอกาสในการปรับตัว
- อำนาจต่อรองต่ำ: ในเวทีโลก หากรัฐบาลไม่เป็นหัวหอกในการเจรจา เอกชนไทยจะถูกกดดันด้วยมาตรการกีดกันทางการค้าฝ่ายเดียว
2 ปีสุดท้ายก่อนระเบิดเวลาจะทำงาน
บทสรุปจากมุมมองผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในอุตสาหกรรมระบุชัดเจนว่า ภาคเกษตรไทยกำลังเดินหน้าเข้าสู่ทางตัน หากรัฐบาลชุดปัจจุบันไม่เร่งกำหนด "วาระแห่งชาติ" เกี่ยวกับคาร์บอนฟุตพริ้นท์อย่างจริงจัง ลูกระเบิดเวลาลูกนี้จะระเบิดภายใน 2 ปี
ถึงวันนั้น สินค้าเกษตรไทยโดยเฉพาะ "ข้าว" จะไม่สามารถส่งออกไปยังตลาดหลักของโลกได้ ไม่ใช่เพราะไม่มีของ หรือราคาแพงเกินไป แต่เป็นเพราะเราไม่มี "ใบรับรองคาร์บอน" ที่ทั่วโลกต้องการ อนาคตของเกษตรกรไทยหลายล้านครัวเรือนจึงขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของรัฐบาลในวันนี้ว่าจะ "นำ" หรือจะ "ปล่อย" ให้ระบบพังทลายลงไปเอง







