Taxonomy เครื่องมือเชิงนโยบายของไทยกับโจทย์ใหญ่จากประชาคมโลก

Taxonomy เครื่องมือเชิงนโยบายของไทยกับโจทย์ใหญ่จากประชาคมโลก

ในช่วงปลายปีของทุกปี เป็นช่วงที่ประชาคมโลกให้ความสนใจกับผลการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือการประชุม Conference of the Parties (COP)

ซึ่งสำหรับสมัยที่ 30 (COP 30) จัดขึ้นระหว่างวันที่ 10 - 21 พฤศจิกายน 2568 ณ เมืองเบเล็ง ประเทศบราซิล 

โดยมีทิศทางใหม่ของระบบเศรษฐกิจโลกที่ก้าวสู่การลงทุนเพื่อความยั่งยืน ผ่านการผลักดันเป้าหมายการเงินใหม่ “Baku to Belém Roadmap to 1.3T” เพื่อให้การลดก๊าซเรือนกระจกและปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศไปสู่การปฏิบัติ โดยตั้งเป้าการเงินสำหรับประเทศกำลังพัฒนา 1.3 ล้านล้านดอลลาร์ ภายในปี ค.ศ.2035 และปรับกระแสเงินทุนของโลกให้เข้าถึงง่าย โปร่งใสและน่าเชื่อถือ

Taxonomy เครื่องมือเชิงนโยบายของไทยกับโจทย์ใหญ่จากประชาคมโลก

ส่วนประเทศกำลังพัฒนา รวมถึงไทย จำเป็นต้องตั้งรับและเร่งปรับตัว เพื่อรับมือการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในระดับโลกนี้ อาทิ การเตรียมพร้อมรับมือกับข้อกำหนดและมาตรฐานทางการเงินที่เชื่อมโยงกับความยั่งยืน การมีมาตรฐานข้อมูลที่ตรวจสอบได้และสอดคล้องกับข้อกำหนดด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการวางกรอบการบริหารจัดการและกำกับดูแลทางการเงินที่เข้มแข็งขึ้น

เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงนี้ไม่จำกัดแค่ในกรอบนโยบายสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่จะส่งผลกระทบต่อโครงสร้างเศรษฐกิจ การค้าการลงทุน และการแข่งขันภาคธุรกิจ หากประเทศไม่สามารถปรับตัวตามกรอบและกลไกด้านความยั่งยืนของประชาคมโลกได้อย่างทันท่วงที อาจเผชิญกับความเสี่ยง

อาทิ สูญเสียความสามารถในการแข่งขันทั้งในตลาดทุนและการส่งออก ขาดโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนระหว่างประเทศ เนื่องจากประเทศคู่ค้าหันมาใช้ “มาตรฐานสีเขียว (Green Standard)” เป็นเงื่อนไขสำคัญ

สถานการณ์น้ำท่วมใหญ่ในจังหวัดสงขลา โดยเฉพาะเขตอำเภอหาดใหญ่ เมื่อปลายเดือนพฤศจิกายน เป็นสัญญาณเตือนตอกย้ำว่า 

การรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศไม่ใช่เพียงการลดก๊าซเรือนกระจก (Mitigation) เท่านั้น แต่ต้องทำควบคู่กับการปรับตัว (Adaptation) อย่างเป็นระบบและทันต่อเหตุการณ์ด้วย เพื่อป้องกันความเสียหายทางเศรษฐกิจและสังคมและผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของประชาชน 

ดังนั้น ประเทศไทยจึงต้องเร่งมาตรการปรับตัวและสร้างความยืดหยุ่น อาทิ การลงทุนจัดการน้ำแบบองค์รวม สร้างระบบป้องกันน้ำท่วมประสิทธิภาพสูง พัฒนาระบบเตือนภัยที่ทันสมัยและส่งข้อมูลถึงประชาชนในพื้นที่เสี่ยงได้รวดเร็ว และปรับกฎหมายผังเมืองเพื่อรองรับกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่รุนแรงขึ้น

เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้เศรษฐกิจฐานราก ช่วยให้ชุมชนในพื้นที่เปราะบางฟื้นตัวได้ และป้องกันผลกระทบต่อระบบการคลังให้รับมือภัยพิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ประเทศไทยจึงต้องขับเคลื่อนการลดก๊าซเรือนกระจกและการปรับตัวฯ ควบคู่กัน เพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายระยะยาวได้อย่างเป็นรูปธรรม การประกาศ NDC 3.0 บนเวที COP30 โดยตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 47% ภายในปี ค.ศ. 2035 ควบคู่กับ NDC Investment Plan ถือเป็นความทะเยอทะยานสูงที่สุดที่ประเทศไทยเคยประกาศต่อประชาคมโลก 

ที่ไม่เพียงสะท้อนความตั้งใจของประเทศในการมีส่วนร่วมต่อข้อตกลงปารีสเท่านั้น แต่ยังแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของเศรษฐกิจไทยในการแข่งขันตามมาตรฐานสีเขียวร่วมกับประชาคมโลก เพื่อวางรากฐานสู่เป้าหมาย Net Zero ในปี ค.ศ.2050 ซึ่งรัฐบาลได้กำหนดเป็นทิศทางหลักของการพัฒนาประเทศในอนาคตด้วย

(NDC : Nationally Determined Contribution หรือ “การมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด” คือ แผนปฏิบัติการด้านสภาพภูมิอากาศของแต่ละประเทศที่ระบุเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจก การปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการดำเนินการอื่นๆ เพื่อบรรลุข้อตกลงปารีส (Paris Agreement))

กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ได้ร่วมผลักดัน “Thailand Taxonomy” เป็นส่วนหนึ่งของร่างพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งคณะรัฐมนตรีเห็นชอบในหลักการแล้ว เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2568 และจะเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกาต่อไป 

Taxonomy จะช่วยจำแนกกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่สนับสนุนการลดก๊าซเรือนกระจกและการปรับตัวฯ ช่วยให้ภาครัฐ ภาคธุรกิจ และสถาบันการเงิน มีมาตรฐานในการประเมินกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ และสอดคล้องกับนโยบายและเป้าหมายของประเทศ

ร่างพระราชบัญญัตินี้ยังออกแบบกลไกทางการเงินสำคัญ คือ กองทุนภูมิอากาศ (Climate Fund) เพื่อสนับสนุนทั้งการลดก๊าซเรือนกระจกและการปรับตัวฯ โดยมีรายได้จากหลายแหล่ง เช่น ระบบการซื้อขายสิทธิในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ภาษีคาร์บอน คาร์บอนเครดิต กลไกการปรับคาร์บอนข้ามพรมแดน เงินอุดหนุนจากรัฐบาล และค่าปรับตามกฎหมาย 

กองทุนนี้จะเน้นสนับสนุนผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ผ่านสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ รวมถึงร่วมลงทุนในรูปแบบ Fund of Funds เพื่อลดความเสี่ยงของโครงการสีเขียวและเพิ่มช่องทางเข้าถึงแหล่งเงินทุนมากขึ้น

การออกแบบ Taxonomy และกองทุนสภาพภูมิอากาศไม่ใช่เพียงมาตรการเชิงนโยบาย หากแต่เป็นกลไกสำคัญที่ผสานเป้าหมายด้านภูมิอากาศเข้ากับระบบการเงิน มาตรฐานข้อมูล และระบบติดตามประเมินผลอย่างเป็นรูปธรรม เมื่อดำเนินงานร่วมกันอย่างสอดประสาน จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นได้ว่าการเปลี่ยนผ่านสู่ Net Zero ของประเทศสามารถขับเคลื่อนไปได้จริง และสอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาทางเศรษฐกิจ

ในช่วงที่ทั่วโลกก้าวเข้าสู่การแข่งขันด้านความยั่งยืน ผลลัพธ์จาก COP30 จึงเป็นสัญญาณเตือนว่าประเทศไทยต้องเร่งพัฒนาเครื่องมือทางการเงิน มาตรฐานข้อมูล ระบบติดตามผล และมาตรการปรับตัวให้เท่าทันความเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ โดยผลักดันร่างกฎหมาย จัดตั้งกองทุนภูมิอากาศ เร่งลงทุนการปรับตัวฯ ในพื้นที่เปราะบาง และปรับใช้ Taxonomy 

ล้วนเป็นการวางรากฐานใหม่ของเศรษฐกิจไทย เพื่อรองรับความท้าทายในทศวรรษหน้า ทั้งมิติการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและการปรับตัวฯ เพื่อสร้างอนาคตที่ยั่งยืนให้กับเศรษฐกิจและสังคมไทยในระยะยาว

Taxonomy เครื่องมือเชิงนโยบายของไทยกับโจทย์ใหญ่จากประชาคมโลก บทความนี้เป็นความคิดเห็นส่วนบุคคล จึงไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับความเห็นของหน่วยงานที่ผู้เขียนสังกัด