GHI 2025 อันดับความหิวโหยโลก ไทยดีสุดอาเซียน ท่ามกลางวิกฤติเศรษฐกิจ–โลกร้อน

ดัชนีความหิวโหยโลก (GHI) ปี 2025 ชี้ว่าความก้าวหน้าในการแก้ปัญหาความหิวโหยทั่วโลกกำลังหยุดชะงัก ทำให้เป้าหมายขจัดความหิวโหยให้เป็นศูนย์ภายในปี 2030 (Zero Hunger) อาจไม่สำเร็จ
KEY
POINTS
- ดัชนีความหิวโหยโลก 2025 ชี้ ความก้าวหน้าหยุดชะงัก ทำให้เป้าหมาย SDG12 อาจไม่สำเร็จ
- 56 ประเทศที่แนวโน้มว่าจะไม่สามารถลดระดับความหิวโหยได้ทันตามเป้า
- สาเหตุหลักของภาวะชะงักงันมาจากความขัดแย้ง การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และปัญหาเศรษฐกิจ
- สำหรับประเทศไทย ถูกจัดอยู่ในอันดับที่ 50 ของโลก และดีที่สุดในอาเซียน แต่ยังคงเผชิญความท้าทายด้านความเหลื่อมล้ำ
ดัชนีความหิวโหยโลก (Global Hunger Index: GHI) ปี 2025 ชี้ให้เห็นว่าความก้าวหน้าในการแก้ปัญหาความหิวโหยของโลกกำลัง "หยุดชะงัก" โดยคะแนนรวมของโลกดีขึ้นเพียงเล็กน้อยจาก 19.0 ในปี 2016 มาอยู่ที่ 18.3 ซึ่งยังอยู่ในระดับปานกลาง สะท้อนว่าเป้าหมาย SDG12 “ขจัดความหิวโหยให้เป็นศูนย์ภายในปี 2030” (Zero Hunger) กำลังหลุดจากเส้นทางที่ตั้งไว้
รายงานระบุว่า มีถึง 56 ประเทศ ที่มีแนวโน้มว่าจะไม่สามารถลดระดับความหิวโหยลงสู่ระดับต่ำได้ทันภายในปี 2030 โดยสาเหตุหลักของความชะงักงันนี้มาจาก ความขัดแย้ง ความผันผวนจากสภาพภูมิอากาศ และปัญหาเศรษฐกิจ
4 ตัวชี้วัดความหิวโหย
ดัชนี GHI ใช้ตัวชี้วัดหลัก 4 ด้านในการประเมินระดับความหิวโหยของแต่ละประเทศ ครอบคลุมมิติสำคัญของความมั่นคงทางอาหารและโภชนาการ ได้แก่
1. ภาวะขาดสารอาหาร (Undernourishment)
สัดส่วนของประชากรที่ได้รับพลังงานจากอาหารไม่เพียงพอต่อความต้องการขั้นต่ำของร่างกาย
2. ภาวะเด็กเตี้ยแคระแกร็น (Child Stunting) สัดส่วนของเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปีที่มีส่วนสูงต่ำกว่าเกณฑ์ตามวัย ซึ่งสะท้อนภาวะทุพโภชนาการเรื้อรัง
3. ภาวะเด็กผอมแห้ง (Child Wasting) สัดส่วนของเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปีที่มีน้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์เมื่อเทียบกับส่วนสูง สะท้อนภาวะทุพโภชนาการเฉียบพลัน
4. อัตราการเสียชีวิตของเด็ก (Child Mortality) สัดส่วนของเด็กที่เสียชีวิตก่อนอายุครบ 5 ปี ซึ่งส่วนหนึ่งสะท้อนผลกระทบจากการขาดโภชนาการร่วมกับสภาพแวดล้อมและสุขภาพที่ไม่เหมาะสม
กลุ่มประเทศน่าวิตก
ปัญหาความหิวโหยยังอยู่ในระดับน่าวิตกอย่างยิ่งในประเทศเฮติ มาดากัสการ์ โซมาเลีย ซูดานใต้ สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก (DRC) เยเมน และบุรุนดี
ความขัดแย้งได้จุดชนวนวิกฤติอาหารในหลายพื้นที่ ส่งผลกระทบต่อผู้คนนับล้าน ขณะเดียวกันการใช้จ่ายด้านการทหารเพิ่มขึ้นอย่างไม่สมดุลเมื่อเทียบกับงบช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม
ประเทศอย่างเอธิโอเปีย อินเดีย และบังกลาเทศ แสดงให้เห็นว่านโยบายที่มุ่งเป้าอย่างเหมาะสมสามารถแก้ปัญหาได้ แต่ความก้าวหน้าเหล่านี้ยังเปราะบางและเสี่ยงถดถอย
ความขัดแย้ง (ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่สุด) การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจ และการขาดความจริงจังทางการเมือง ล้วนเป็นอุปสรรคต่อความก้าวหน้า
สถานการณ์ในภูมิภาคอาเซียน
รายงาน ASEAN Hunger Index 2025 ซึ่งอ้างอิงจากการจัดอันดับของ Global Hunger Index (GHI) สะท้อนภาพรวมสถานการณ์ความมั่นคงทางอาหารและโภชนาการของประเทศในภูมิภาคอาเซียน พบว่า จากการจัดอันดับในปี 2025 ประเทศในอาเซียนส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่ม “ต่ำ” (Low)
ประเทศไทย มีผลการประเมินอยู่ในเกณฑ์ “ต่ำมาก” (Very low) โดยอยู่ในอันดับที่ 50 ของโลก ถือเป็นประเทศที่มีสถานการณ์ด้านความหิวโหยดีที่สุดในกลุ่มอาเซียนที่มีข้อมูลรายงาน
เวียดนามอยู่ในอันดับที่ 60 ของโลก ตามด้วยฟิลิปปินส์อันดับ 66 มาเลเซียอันดับ 68 อินโดนีเซียอันดับ 70 กัมพูชาอันดับ 73 และเมียนมาอันดับ 75 ขณะที่สิงคโปร์ บรูไน และ สปป.ลาว ยังไม่มีข้อมูลเพียงพอสำหรับการจัดอันดับในปีนี้
ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงทางอาหารมองว่า แม้หลายประเทศในอาเซียน เช่น ไทย จะอยู่ในกลุ่มที่มีระดับความหิวโหยต่ำเมื่อเทียบในระดับโลก แต่ตัวเลขดังกล่าวไม่ได้หมายความว่าปัญหาจะหมดไปโดยสิ้นเชิง
โดยเฉพาะประเด็น ความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ ภาวะเด็กเตี้ยแคระแกร็นในบางพื้นที่ และผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และความไม่แน่นอนของระบบอาหารโลก
ประเทศไทย ก้าวหน้าอันดับ 50 ของโลก
สำหรับประเทศไทย การอยู่ในอันดับ 50 ของโลกสะท้อนถึงความก้าวหน้าในการลดความหิวโหยและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในภาพรวม อย่างไรก็ตาม นักวิชาการชี้ว่า ความท้าทายในระยะต่อไปคือการรักษามาตรฐานดังกล่าวควบคู่กับการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง โดยเฉพาะโภชนาการเด็ก สุขภาพในช่วงต้นชีวิต และความมั่นคงทางอาหารของกลุ่มเปราะบาง
คะแนนตัวชี้วัด GHI 4 ด้าน ของไทย เป็นดังนี้
- 4.6% ของประชากรอยู่ในภาวะขาดสารอาหาร
- 12.3% ของเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปีมีภาวะเตี้ยแคระแกร็น
- 7.2% ของเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปีมีภาวะผอมแห้ง
- 0.9% ของเด็กเสียชีวิตก่อนอายุครบ 5 ปี
รายงาน ASEAN Hunger Index 2025 จึงไม่เพียงเป็นเครื่องมือเปรียบเทียบสถานะของประเทศในภูมิภาค แต่ยังเป็นสัญญาณเตือนให้รัฐบาลและทุกภาคส่วนเร่งลงทุนในระบบอาหาร โภชนาการ และสวัสดิการสังคม เพื่อให้การลดความหิวโหยไม่ใช่เพียงตัวเลขในดัชนี หากแต่เป็นความมั่นคงที่ยั่งยืนของประชาชนในระยะยาว







