PM2.5 ทำป่วย จี้รัฐบาลใหม่ 60 วันแรก เร่งคืน 'กองทุนอากาศสะอาด' สู่ร่างกฎหมาย

ผู้เชี่ยวชาญเรียกร้องให้รัฐบาลใหม่เร่งนำร่าง พ.ร.บ. อากาศสะอาด กลับมาพิจารณาภายใน 60 วัน โดยต้องคง "กองทุนอากาศสะอาด" และมาตรการทางเศรษฐศาสตร์ไว้
KEY
POINTS
- ผู้เชี่ยวชาญเรียกร้องให้รัฐบาลใหม่เร่งนำร่าง พ.ร.บ. อากาศสะอาด กลับมาพิจารณาภายใน 60 วัน โดยต้องคง "กองทุนอากาศสะอาด" และมาตรการทางเศรษฐศาสตร์ไว้
- กองทุนอากาศสะอาดเป็นกลไกสำคัญเพื่อให้มีงบประมาณต่อเนื่องและทันการณ์ในการแก้ปัญหามลพิษ PM2.5 ที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพคนไทยกว่า 10 ล้านคนต่อปี
- การเก็บภาษีหรือค่าธรรมเนียมจากผู้ก่อมลพิษมีเป้าหมายเพื่อสร้างความรับผิดชอบต่อต้นทุนทางสังคมและสุขภาพที่เกิดขึ้น ไม่ใช่การสร้างภาระให้ธุรกิจ
- หากตัดมาตรการสำคัญอย่างกองทุนฯ และเครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์ออกไป จะทำให้กฎหมายขาดประสิทธิภาพ และอาจขัดต่อสิทธิในการมีอากาศสะอาดตามรัฐธรรมนูญ
ในการเสวนาวิชาการเรื่อง "ทำไมเราต้องมีเครื่องมือเศรษฐศาสตร์และกองทุนในร่าง พรบ.อากาศสะอาด?” ซึ่งจัดโดยคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ร่วมกับผู้เชี่ยวชาญจาก จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ NIDA ได้ข้อสรุปว่า หากรัฐบาลชุดใหม่ต้องการแก้ไขปัญหาวิกฤติมลพิษทางอากาศที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพและเศรษฐกิจของประเทศอย่างแท้จริง จะต้องนำร่างพระราชบัญญัติ (พรบ.) บริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด กลับมาพิจารณาอย่างเร่งด่วน โดยต้องคงมาตรการทางเศรษฐศาสตร์และกลไกทางการเงินที่สำคัญไว้ครบถ้วน
การเสวนานี้มีวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิเข้าร่วม ได้แก่ รศ.ดร. ขนิษฐา แต้มบุญเลิศชัย คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, รศ.ดร.อดิศร์ อิศรางกูร ณ อยุธยา คณะพัฒนาการเศรษฐกิจ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า), และ สฤณี อาชวานันทกุล หัวหน้าทีมวิจัย แนวร่วมการเงินที่เป็นธรรมประเทศไทย (Fair Finance Thai;and) โดยมี รศ.ดร.วิษณุ อรรถวานิช อาจารย์ประจำภาควิชาเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และโฆษกคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ. อากาศสะอาดฯ เป็นผู้ดำเนินรายการ
วิกฤติมลพิษ ต้นทุนทางสังคมที่บิดเบือน
“รศ.ดร. ขนิษฐา” เน้นย้ำถึงความรุนแรงของปัญหา โดยระบุว่า มลพิษทางอากาศ โดยเฉพาะฝุ่น PM 2.5 เป็นสัดส่วนหลักของการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรทั่วโลก ซึ่งในปี 2019 มีผู้เสียชีวิตจากอากาศเสียทั่วโลกสูงถึงประมาณ 7 ล้านคน. ผลกระทบดังกล่าวส่งผลให้เกิดการเจ็บป่วย สูญเสียผลิตภาพของแรงงาน และสร้างความเสียหายทั้งทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างมหาศาล
“รากเหง้าของปัญหาดังกล่าวคือ ตลาดล้มเหลว เนื่องจากราคาของสินค้า โดยเฉพาะเชื้อเพลิงฟอสซิล ไม่ได้สะท้อนต้นทุนทางสังคมที่แท้จริง เมื่อราคาสินค้าต่ำกว่าต้นทุนที่เกิดขึ้นจริงกับสังคม ทำให้เกิดการใช้สินค้านั้นอย่างแพร่หลายเกินควร”
นอกจากนั้น “รศ.ดร. ขนิษฐา” ยังยืนยันความจำเป็นของเครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์ที่หลากหลาย โดยแบ่งเป็น มาตรการบังคับ เช่น การเก็บภาษีและค่าธรรมเนียม และ มาตรการจูงใจ เช่น การอุดหนุน มาตรการเหล่านี้ต้องดำเนินควบคู่กันเพื่อสร้างแรงจูงใจที่ถูกต้อง
“จากที่มีการพยายามเสนอให้ตัดออกจากร่าง พ.ร.บ. คือ ระบบฝากไว้ได้คืน (Deposit-Refund System) มลพิษทางอากาศไม่ได้มาจากโรงงานหรือยานยนต์เท่านั้น แต่ยังเกิดจากการจัดการขยะไม่ถูกทางและการเผาในที่โล่ง ระบบนี้มีความสำคัญในการจัดการมลพิษให้ครบวงจร โดยจะช่วยสร้างแรงจูงใจให้มีการเก็บรวบรวมซากบรรจุภัณฑ์ เช่น สารเคมีทางการเกษตร ไปคืนอย่างถูกวิธี แทนที่จะนำไปเผา ซึ่งจะลดการปล่อยควันพิษและสารเคมีอันตรายที่เกาะกับฝุ่น PM 2.5”
ทวงถามความรับผิดชอบ
"รศ.ดร. อดิศร" กล่าวว่า การที่สมาชิกวุฒิสภา (สว.) มองว่าการเก็บภาษีหรือค่าธรรมเนียมจะเป็นภาระต่อธุรกิจและประชาชน อยากเน้นว่า สำหรับผู้ก่อมลพิษแล้ว นี่ไม่ถือเป็นภาระ แต่คือการทวงถามความรับผิดชอบในต้นทุนที่คุณสร้างกับสังคม และที่ผ่านมาคุณไม่เคยต้องจ่าย
"การไม่เก็บภาษีต่างหากที่สร้างภาระมหาศาลต่อสุขภาพประชาชน โดยมีข้อมูลว่าในหนึ่งปี มีคนไทยเจ็บป่วยจาก PM 2.5 ถึง 10 ล้านคน การเก็บภาษีสิ่งแวดล้อมจึงเป็นเครื่องมือที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในระบบเศรษฐกิจ และยังนำมาซึ่งเงินปันผลสองเด้ง เพราะรายได้ที่เก็บได้สามารถนำไปใช้ในการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมได้ นอกจากนี้ การใช้มาตรการบังคับยังเป็นการสร้างสนามแข่งขันที่เท่าเทียม ให้กับผู้ประกอบการสีเขียวที่มีต้นทุนสูงกว่า เพราะพวกเขาพยายามลดมลพิษ"
กลไกเพื่อความต่อเนื่องและทันการณ์
"รศ.ดร. อดิศร" ระบุว่า การพึ่งพิงงบประมาณปกตินั้นมีความเสี่ยงสูง เพราะต้องรอการจัดสรรจากรัฐบาลตามระบบเสียงข้างมาก ในขณะที่กองทุนสิ่งแวดล้อมปัจจุบันมีเงินเพียง 200 กว่าล้านบาทต่อปี ซึ่งไม่เพียงพอต่อการแก้ปัญหาสุขภาพของคนไทยกว่า 10 ล้านคนที่เจ็บป่วยจาก PM 2.5
การมีกองทุนเฉพาะกิจที่มีที่มาของเงินทุนชัดเจนจะช่วยเสริมความต่อเนื่องในการสนับสนุนผู้ที่ต้องการเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจสีเขียว และทำหน้าที่ปกป้องผลประโยชน์ของคนเสียงข้างน้อยหรือคนในอนาคต
"ฝากถึงรัฐบาลชุดใหม่ให้ช่วยพิจารณา นำร่าง พรบ. อากาศสะอาด กลับมาพิจารณาใหม่ ภายใน 60 วัน เพื่อเร่งผลักดันการแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศให้ประเทศไทยก้าวไปสู่เศรษฐกิจสีเขียวและความยั่งยืนต่อไป การตัดมาตรการหลักออกไปอาจทำให้กฎหมายที่ออกมา พิกลพิการ จนเข้าข่ายขัดต่อสิทธิที่ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญและอาจนำไปสู่การฟ้องร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญได้"
ความรับผิดชอบของสถาบันการเงิน
“สฤณี” กล่าวว่า มาตรา 211 ที่กำหนดให้สถาบันการเงิน ต้องร่วมรับผิดในความเสียหายที่เกิดจากการให้กู้ยืมแก่ผู้ก่อมลพิษ ถูกมองว่าเป็นสิ่งจำเป็น และสถาบันการเงินเป็น "หัวจักร" ในการจัดสรรเงินทุน และควรมีบทบาทในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่ยั่งยืน
“แม้ สว. บางส่วนจะเสนอให้ตัดมาตรานี้ออก แต่บทบัญญัตินี้ไม่ได้ตั้งใจลงโทษ แต่ตั้งใจจะให้เกิดการปรับเปลี่ยนตัวร่างกฎหมายกำหนด ข้อจำกัดความรับผิด และข้อ ยกเว้นความรับผิด หากสถาบันการเงินสามารถพิสูจน์ได้ว่า มีระบบประเมินความเสี่ยงด้านมลพิษทางอากาศอย่างเพียงพอ”
ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่หลายแห่ง (เช่น SCB และ KBANK) ได้เริ่มดำเนินการตามนโยบายด้าน ESG (สิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล) และกำหนดให้ลูกค้าต้องมีความรับผิดชอบในการปกป้องสุขภาพและสิ่งแวดล้อมอยู่แล้ว มาตรานี้จึงเป็นการสร้างสนามแข่งขันที่เท่าเทียม และสอดคล้องกับมาตรฐานสากล เช่น แนวทางของ OECD ที่กำหนดให้บริษัทข้ามชาติต้องมีระบบการประเมินความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อมและสิทธิมนุษยชน
สิทธิในการได้สูดอากาศสะอาด
"รศ.ดร.วิษณุ" กล่าวทิ้งท้ายว่า กลไกทางการเงินที่สำคัญที่สุดคือ กองทุนอากาศสะอาด ซึ่งถูกระบุว่าเป็นหัวใจสำคัญ ที่จะทำให้สิทธิในการได้สูดอากาศสะอาดเกิดขึ้นจริง หากไม่มีกองทุนนี้ มาตรการจูงใจต่างๆ จะขาดความต่อเนื่อง และต้องรอการจัดสรรงบประมาณประจำปี ซึ่งล่าช้าและไม่ทันต่อการแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศที่เกิดขึ้นเป็นรายสัปดาห์
"อากาศสะอาดเป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน และเป็นหลักการสากล หากมีการตัดมาตรการสำคัญใดๆ ออกไป ไม่ว่าจะเป็นเครื่องมือเศรษฐศาสตร์หรือกองทุนอากาศสะอาด จะทำให้กฎหมายขาดเขี้ยวเล็บ”







