‘อาเซียน’ วิกฤติ ปี 2050 ยอดตายจากฝุ่นพุ่ง  10% แม้ PM2.5 ลดลง ผลพวงโลกร้อนทำอากาศปิด

‘อาเซียน’ วิกฤติ ปี 2050 ยอดตายจากฝุ่นพุ่ง  10% แม้ PM2.5 ลดลง ผลพวงโลกร้อนทำอากาศปิด

วิกฤติทั้งอาเซียน คาดปี 2050 ยอดตายจากฝุ่นเพิ่มขึ้น 10% แม้ค่า PM2.5 ลดลง เนื่องจากภาวะโลกร้อนทำอากาศปิด เกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจ 591,000 ล้านดอลลาร์

KEY

POINTS

  • มีการคาดการณ์ว่าภายในปี 2050 ยอดผู้เสียชีวิตจากมลพิษทางอากาศในอาเซียนจะเพิ่มขึ้น 10% แม้ว่าความเข้มข้นของฝุ่น PM2.5 โดยรวมจะลดลง
  • สาเหตุหลักมาจากภาวะโลกร้อนที่ส่งผลกระทบต่อระบบสภาพอากาศ ทำให้เกิดสภาวะอากาศปิด และฝนตกน้อยลง มลพิษจึงสะสมตัวในอากาศมากขึ้น
  • พื้นที่ที่จะได้รับผลกระทบหนักที่สุดจากความเข้มข้นของมลพิษที่เพิ่มสูงขึ้น ได้แก่ ภาคใต้ของประเทศไทย และหมู่เกาะทางตอนใต้ของอินโดนีเซีย

รายงาน “State of Global Air” (SoGA) ฉบับปี 2025 ซึ่งจัดทำโดย สถาบันผลกระทบทางสุขภาพ (HEI) ร่วมกับ สถาบันเพื่อการวัด และประเมินผลด้านสุขภาพ (IHME) เผยภาพรวมของวิกฤติมลพิษทางอากาศทั่วโลก ในปี 2023 มลพิษทางอากาศเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตถึง 7.9 ล้านคนทั่วโลก คิดเป็นประมาณหนึ่งในแปดของจำนวนการเสียชีวิตทั้งหมด 

รายงานระบุว่า มลพิษทางอากาศได้ก้าวขึ้นเป็นปัจจัยเสี่ยงลำดับที่สองที่นำไปสู่การเสียชีวิตก่อนวัยอันควรทั่วโลก เป็นรองเพียงความดันโลหิตสูงเท่านั้น แต่โรคที่มาจากมลพิษทางอากาศไม่ได้กระจายอย่างเท่าเทียมกัน กลับกระจุกตัวอยู่ในประเทศที่มีรายได้ต่ำ และปานกลาง จนทำให้ผู้เสียชีวิตจากมลพิษทางอากาศในกลุ่มประเทศนี้สูงถึง 90% ของการเสียชีวิตทั้งหมด

มลพิษที่อันตรายที่สุดคือ “ฝุ่นละอองขนาดเล็ก” หรือ “PM2.5” เป็นอนุภาคที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า และสามารถแทรกซึมลึกเข้าสู่ปอด และกระแสเลือดได้ หากสัมผัสฝุ่นจิ๋วนี้เป็นเวลานาน จะทำให้เกิดผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม และเป็นสาเหตุของการเสียชีวิต 4.9 ล้านคนในปี 2023 

เช่นเดียวกับ “มลพิษทางอากาศในครัวเรือน” (HAP) ซึ่งมาจากการใช้เชื้อเพลิงแข็งในการหุงต้มหรือให้ความร้อน ยังคงเป็นปัญหาสำคัญ โดยเป็นสาเหตุของการเสียชีวิต 2.8 ล้านคน ขณะที่โอโซนระดับพื้นดินก่อให้เกิดการเสียชีวิต 470,000 รายในปีเดียวกัน 

แหล่งกำเนิดของ PM2.5 ที่สำคัญที่สุดมาจากภาคอุตสาหกรรม (20.2%) ตามมาด้วยภาคพลังงาน (15.4%) และการใช้เชื้อเพลิงในครัวเรือน (14.7%) สามารถทำให้เกิดกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) คิดเป็น 86% ของการเสียชีวิตทั่วโลกที่เกี่ยวข้องกับมลพิษทางอากาศในปี 2023 โรคเหล่านี้รวมถึงโรคหัวใจขาดเลือด, โรคหลอดเลือดสมอง, โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD), มะเร็งปอด, และเบาหวานชนิดที่ 2 มลพิษทางอากาศเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตจากโรคหัวใจขาดเลือดถึง 25% และมากกว่าหนึ่งในสี่ของการเสียชีวิตจากโรคหลอดเลือดสมอง 

รายงาน SoGA 2025 การผนวกภาวะสมองเสื่อม เข้ามาเป็นผลลัพธ์ทางสุขภาพใหม่ที่เชื่อมโยงกับมลพิษทางอากาศเป็นครั้งแรก พบว่าในปี 2023 มลพิษทางอากาศมีส่วนทำให้เกิดการเสียชีวิตจากภาวะสมองเสื่อมทั่วโลกถึง 626,000 ราย และทำให้สูญเสียปีสุขภาวะ (DALYs) ถึง 11.6 ล้านปี  

 

อาเซียนเสียชีวิตเพิ่มขึ้น แม้คุณภาพอากาศจะดีขึ้น

เมื่อเจาะลึกไปในระดับภูมิภาค ภาระโรคจากมลพิษทางอากาศในเอเชียยังคงเป็นที่น่ากังวลอย่างยิ่ง ภูมิภาคเอเชียใต้ยังคงเป็นจุดที่มีผลกระทบเลวร้ายที่สุด โดยมีอัตราการเสียชีวิตที่ปรับตามอายุสูงถึง 195 รายต่อ 100,000 คน สูงกว่าประเทศที่มีรายได้สูงมากกว่า 10 เท่า อินเดีย และจีนมีผู้เสียชีวิตที่เกี่ยวข้องกับมลพิษทางอากาศรวมกันมากกว่า 2 ล้านคนในปี 2023

สำหรับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เอเชียตะวันออก และโอเชียเนีย ก็เผชิญกับภาระโรคที่สำคัญ โดยมีอัตราการเสียชีวิตที่ปรับตามอายุเนื่องจากมลพิษทางอากาศอยู่ที่ 100 รายต่อ 100,000 คน และคิดเป็น 35.1% ของการเสียชีวิตจากมลพิษทางอากาศทั่วโลก โดย อินโดนีเซีย และเมียนมาที่พบผู้เสียชีวิตกว่า 100,000 คนในปี 2023

มลพิษในภูมิภาคนี้มาจากหลากหลายแหล่ง ทั้งไอเสียรถยนต์ ไฟป่า และโรงไฟฟ้าถ่านหิน นอกจากนี้ ข้อมูลยังชี้ให้เห็นว่าภูมิภาคนี้มีการสัมผัสไนโตรเจนไดออกไซด์สูงเป็นอันดับสามของโลก ที่ 8.2 ppb เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหอบหืดในวัยเด็ก

จากงานวิจัยของ ศ.ยิม สตีฟ หัวหน้าศูนย์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และสุขภาพสิ่งแวดล้อมแห่งมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีนันยางของสิงคโปร์ ชี้ให้เห็นถึงความขัดแย้งเชิงนโยบายในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่น่ากังวล ซึ่งส่งผลกระทบระยะยาวในภูมิภาค

แม้ว่าการศึกษาจะคาดว่าความเข้มข้นโดยรวมของ PM2.5 ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะลดลงระหว่าง 2-10% ภายในปี 2050 ภายใต้สถานการณ์การปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่แตกต่างกัน แต่จำนวนผู้เสียชีวิตที่เชื่อมโยงกับมลพิษทางอากาศในภูมิภาคนี้กลับมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นถึง 10% ภายในปี 2050

ศ.ยิม ระบุว่า แม้ระดับมลพิษจะลดลงโดยรวม แต่ความเข้มข้นของมลพิษกลับเพิ่มสูงขึ้นในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมากที่สุดของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งรวมถึงภาคใต้ของประเทศไทย และเกาะทางใต้ของอินโดนีเซีย เป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศส่งผลกระทบต่อระบบสภาพอากาศที่ควบคุมการก่อตัว การแพร่กระจาย และการสลายตัวของมลพิษ เช่น ปริมาณน้ำฝนที่ลดลงจะจำกัดการชะล้างมลพิษ และทำให้มลพิษสะสมในอากาศ

ผลกระทบที่ตามมาคือ ต้นทุนทางเศรษฐกิจที่มหาศาล จากการประเมินภายใต้สถานการณ์การปล่อยมลพิษสูง ภูมิภาคนี้อาจเผชิญกับต้นทุนทางเศรษฐกิจจากการเสียชีวิตที่เกี่ยวข้องกับมลพิษสูงถึง 591,000 ล้านดอลลาร์ โดยตัวเลขเหล่านี้แสดงถึงมูลค่าทางสังคมรวมของชีวิตที่สูญเสียไป ไม่ใช่ค่าใช้จ่ายด้านการดูแลสุขภาพโดยตรง แต่ครอบคลุมการสูญเสียสวัสดิภาพที่กว้างขึ้น เช่น ผลผลิตที่สูญเสียไป ผลผลิตทางเศรษฐกิจ และต้นทุนที่จับต้องไม่ได้ของการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร

ตามข้อมูลจาก SoGA 2025 พบว่า ในปี 2023 ประเทศไทยมีค่าเฉลี่ย PM2.5 มีผู้เสียชีวิตจากมลพิษทางอากาศ 54,700 ราย ขณะที่ค่าเฉลี่ย PM2.5 ต่อปี ถ่วงน้ำหนักตามจำนวนประชากรในปี 2023 อยู่ที่ 23.5 ซึ่งลดลงจากปี 2022 ที่อยู่ระดับ 23.7 โดยอุตสาหกรรมเป็นแหล่งที่ทำให้เกิดฝุ่นละออง PM2.5 ในอากาศมากที่สุด ที่ 20.2% รองลงมาคือ ภาคพลังงาน (15.4%) ที่อยู่อาศัย (14.7%) และฝุ่นที่เกิดจากกิจกรรมของมนุษย์ (11.3%)

ทั้งรายงาน SoGA 2025 และงานวิจัยเชิงลึกของ ศ.ยิม เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการดำเนินการที่บูรณาการ และสอดคล้องกันทั่วโลก เนื่องจากมลพิษทางอากาศมีความเชื่อมโยงโดยตรงกับความเสี่ยงด้านสุขภาพที่สำคัญถึง 7 อันดับแรกในกลุ่มโรคไม่ติดต่อ การลดการสัมผัส PM2.5 และโอโซน จึงไม่เพียงแต่ช่วยลดอัตราการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร และบรรเทาภาระของภาวะสมองเสื่อมเท่านั้น แต่ยังเป็นโอกาสคู่ขนานในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงาน และเพิ่มผลผลิตทางเศรษฐกิจอีกด้วย 

ตัวอย่างเช่น การดำเนินการควบคุมมลพิษในประเทศจีนระหว่างปี 2015-2017 ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับโรคหลอดเลือดสมอง, โรคหัวใจขาดเลือด, COPD และการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจส่วนล่าง ลดลง 8.09% ใน 98 เมือง

การจัดการมลพิษทางอากาศต้องถูกรวมเข้าโดยตรงในนโยบายด้านสุขภาพ และการพัฒนาของชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศที่มีรายได้ต่ำ และปานกลาง เช่น ประเทศไทย ที่เผชิญกับภัยคุกคามแบบผสมผสานทั้งจากมลพิษในบรรยากาศ และมลพิษที่ได้รับผลกระทบจากสภาพภูมิอากาศ ความมุ่งมั่นดังกล่าวมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนแห่งสหประชาชาติ (SDG) ข้อที่ 3.4 ซึ่งเรียกร้องให้มีการลดการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรจากโรค NCDs ลงหนึ่งในสามภายในปี 2030

วิกฤติมลพิษทางอากาศทั่วโลกในปัจจุบันสามารถเปรียบได้กับ “การสะสมหนี้สินที่ไม่เคยจ่าย” มลพิษทางอากาศที่เราเผชิญในแต่ละวันคือ ดอกเบี้ยที่สูงขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งไม่ได้ส่งผลกระทบแค่สุขภาพกาย แต่ยังกัดกร่อนสุขภาพสมอง และบ่อนทำลายศักยภาพทางเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว การเพิกเฉยต่อภัยเงียบนี้หมายถึงการยอมรับว่าโรคเรื้อรัง และภาวะสมองเสื่อมจะกลายเป็นภัยคุกคามที่ใหญ่ที่สุด และต่อเนื่องที่สุดต่อความเป็นอยู่ที่ดีของประชากร 

ดังนั้น การลงทุนในการควบคุมคุณภาพอากาศอย่างจริงจังจึงไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นการลงทุนเพื่อความอยู่รอด และอนาคตที่มั่นคงของสังคมโดยรวม

 

 

ที่มา: Down to EarthFortuneSoGA

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์